สีชังไม่ชังศรี...




"หะเบสสมอพลัน ออกสันดอนไป
ลัดไปเกาะสีชัง จนกระทั่งกระโจมไฟ
เที่ยวหาข้าศึก มิได้นึกจะกลับมาใน
ถึงตายตายไป ตายให้แก่ชาติเรา
พวกเราจงดู รู้เจ็บแล้วต้องจำ
ลับดาบไว้พลาง ช้างบนยอดกาฟฟ์จะนำ
สยามเป็นชาติของเรา ธงยอดเสาชักขึ้นทุกลำ
ถึงเรือจะจมในน้ำ ธงไม่ต่ำลงมา
เกิดมาเป็นไทย ใจร่วมกันแหละดี
รักเหมือนพี่เหมือนน้อง ช่วยกันป้องปฐพี
สยามเป็นชาติของเรา อย่าให้เขามาย่ำมายี
ถึงตายตายดี ตายในหน้าที่ของเรา
พวกเราทุกลำ จำเช่นดอกประดู่
วันไหนวันดี บานคลี่พร้อมอยู่
วันไหนร่วงโรย ดอกโปรยตกพรู
ทหารเรือ เราจงดู ตายเป็นหมู่เพื่อชาติไทย"
อะแฮ่ม ขออนุญาตินำเพลงของทหารเรือมาขึ้นนำความในครั้งนี้เสียหน่อย
หวังว่าคงจะมีคนเคยได้ยินบ้างนะครับ...
เพลงนี้ ผมร้องเป็นตั้งแต่อายุราวๆไม่เกินสิบขวบ
เนื่องด้วยได้เคยมีโอกาสได้ไปเข้าค่ายสันทนาการ
เยาวชนลูกนาวี เมื่อนานแสนนานมาล่วงแล้วที่ฐานทัพเรือสัตหีบ
ครั้งนั้นจำได้ว่าไปเข้าค่ายกับพี่ๆ อีกสองคน ผมเป็น้องสุดท้องก็เดินต้อยๆ
ตามเขาไป กิจกรรมของค่ายก็คงไม่พ้นไปดูนู่นดูนี่ ดูเรือรบ ดูการฝึกของ
ทหารเรือ และทำกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย แต่ที่จำได้ก็คือวันแรกที่ไปเข้าค่าย
พวกเราต้องฝึกหัดร้องเพลงที่เห็นด้านบนนี้จนกว่าจะจำได้ขึ้นใจ
เพลงนี้มีท่อนหนึ่งที่เอ่ยถึงเกาะที่ผมไปท่องเที่ยวในวันพ่อที่ผ่านมานั่นก็คือ
เกาะสีชัง...
เกาะสีชังนี่จะว่าไปก็เลื่อนๆลอยๆในความทรงจำของผมอยู่บ้างนิดหน่อย
ค่าที่ว่าในครั้งกระนั้นที่ไปเข้าค่าย ผมได้ทำกิจกรรมกรรเชียงเรือข้างจากสัตหีบ
ไปยังเกาะสีชังแห่งนี้ แต่ภาพในหัวของเกาะสีชังนั้นไม่มีอยู่เลยแม่แต่น้อย
จะมีก็แต่ภาพที่พายเรือโยกเยกๆกันไป และกลับ ดังนั้นการไปยังเกาะสีชังในครานี้
จึงเป็นเสมือนการไปเยือนถิ่นเดิม และเติมเต็มความทรงจำที่ขาดหายไปให้
กลับมาดังเก่า
จริงๆจะว่าไปก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเกาะสีชังกันหรอก เพียงแต่น้องชายสองคน
คนหนึ่งได้ของเล่นเป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพครบชุด อีกคนได้เลนส์ถ่ายภาพใหม่มา
ส่วมผมก็ตามประสาคนอยากลับฝีมือถ่ายภาพทื่อๆ ให้มันคมพอจะหั่นจะเถืออะไรได้บ้าง
จึงมีข้อเสนอเรื่องเกาะสีชังขึ้นมาเป็นจุดหมายในทริปถ่ายภาพครั้งนี้...

พวกเราออกเดินทางกันจากกรุงเทพไปยังจุดหมายตั้งแต่สิบโมงเช้า
และมีผู้ร่วมเดินทางสนับสุนแบบคาดฝันและไม่คาดฝันเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นน้องชายที่ว่า พี่ไปไหนน้องไปด้วย
แต่ขอให้แจ้งให้ทราบก่อนในยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะหากมิฉะนั้น อาจมีการซ้ำซ้อน
กันในเรื่องของการนัดหมายกับบุคคล สถานที่และเวลาได้

ส่วนอีกหนึ่งคนนั้น เรียกว่าสังกะปีสีตะชาติ จะได้ร่วมสัฆกรรมกันก็เห็น
จะเป็นที่ยากเย็น เนื่องด้วย "อา" ท่านไม่ค่อยจะมีเวลามาสนใจใยดี
หรือร่วมวิวาทะสนทนากับหลานมากสักเท่าไหร่ ก็คงมัวจะสนใจแต่ กิจการงาน
"ส่วน....ตัว" จนลืมไปว่าญาติข้างหลาน แก่เฒ่าเข้ามาประชิดอาแล้วหลายคน
ครั้งนี้ อา มาร่วมเดินทาง มีฤา หลานๆจะปฏิเสธ รังแต่จะดีใจและมีความสุข
ที่อา ทิ้งงานทิ้งการ "ส่วน....ตัว" มาดูแลหลานได้บ้าง(ฮา)

พาหะนะสองคันคนห้าคนพากันเดินทางไปถึงเกาะสีชังราวๆสิบเอ็ดโมงกว่า เนื่อด้วย
วันนี้เป็นวันพ่อ จึงมีคนเดินทางออกต่างจังหวัดมากหลายอยู่ การจราจรจึงติดขัด
ให้หงุดหงิดใจได้พอสมควร และกว่าที่จะเดินทางมาถึง"เกาลอย" สถานที่ที่เราจะต้องทิ้ง
พาหนะเอาไว้เพื่อต่อเรือข้ามไปยังเกาะสีชังนั้น จึงล่วงเวลาเข้าไปบ่ายโมง

เกาะลอย แห่งนี้ ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีประวัติความเป็นมาอย่างไร
ก็เห็นจะจนด้วยเกล้า เนื่องจากลองค้นๆดูแล้วมีประวัติแต่เพียงว่าเป็นเกาะที่อยู่
ห่างจากชายฝั่งชลบุรีเพียงสามร้อยเมตร แต่เดิมมีเพียงสะพานไม้ขนาดเล็ก
เชื่อมระหว่างเกาะและชายฝั่ง บนเกาะมีวัดอยู่หนึ่งแห่งชื่อเดียวกับเกาะ
คือวัดเกาะลอยเสียดายที่เที่ยวนี้เป็นทริปเร่งรีบไปหน่อย
จึงไม่ได้มีโอกาสขึ้นไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเกาะ
เพราะเรือกำลังจะออกจากท่าในไม่เกินสิบนาทีนี้แล้ว...

เรื่องที่น่าเสียดายอีกหน่อยหนึ่งคือเมื่อเรืออกจากท่า
ไม่มีใครกล้าที่จะหยิบเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายแม้แต่คนเดียว เพราะด้วยละอองน้ำ
ทะเล ไอแดด และลมทะเล ซึ่งว่ากันว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของกล้องถ่ายภาพ
ซึ่งหากกล้องตัวใดที่ได้สัมผัสกับสามสิ่งขั้นต้นแล้วไซร์
ท่านว่าอายุของกล้องและเลนส์ จักสั้นลงทันตาเห็น
และแน่นอน เราจึงไม่มีภาพขาไปแม้แต่ใบเดียว...
ยี่สิบนาทีกว่าๆนิดหน่อย เจ้าเรือข้ามฟากก็พาเรามาขึ้นฝั่งที่เกาะสีชัง
แวบแรกที่ผมรู้สึกก็คือ เกานี้มีความเจริญมากกว่าที่จินตนาการไว้
ในความคิดผม เกาะสีชังคงเป็นแค่เกาะที่มีแค่หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ
น่ารักๆ มีถนนหนทางที่ยังไม่เจริญนัก แต่เอาเข้าจริง เกาะสีชัง
มีหน่วยชี้วัดความเจริญกับเขาด้วยนะ อ้อ หน่วยที่ว่าก็คือ ร้านสะดวกซื้อ
เซเว่น อีเลฟเว่นครับ ว่ากันว่า หากท่านต้องการรู้ว่าสถานที่แห่งใด
เจริญแล้วหรือล้าหลังอยู่ ให้ดูว่ามีเซเว่นหรือไม่ หากว่ามีแล้วไซร์
ท่านว่าสถานที่แห่งนั้นเข้าข่ายมีความเจริญเข้ามาถึงแล้ว
จะว่าไปบ้านผมที่กรุงเทพ ยังไม่มีเซเว่นในรัศมีห้ากิโลเลยนะเนี่ย

จากท่าเรือ เราจับรถเช่าสามล้อเครื่องหนึ่งคัน ด้วยการเหมาทั้งวัน คือไม่ว่า
จะไปแห่งหนตำบลใดในเกาะสีชัง ค่าโดยสารก็เป็นแบบเหมาจ่ายแล้วในราคา
ห้าคนสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน ด้วยความที่ผมรู้สึกเมาๆเรือ และเมา น้องๆ
สุภาพสตรีในเรือบางท่าน เมื่อขึ้นท่าเรือจึงยังมีอาการมึนงง เล้กน้อย
เลยไม่ได้มีโอกาสถ่ายภาพพาหนะ ที่พาเราโลดแล่นไปยังสถานที่ต่างๆบนเกาะ
อีกตามเคย นับว่าน่าเสียดายยิ่ง เพราะพาหนะที่พาเราไปนั้น เป้นรถมอเตอร์ไซด์
ลุกผสมสามล้อเครื่องและรถกระป๋อง รูปร่างอธิบายยาก หากท่านอยากทดลอง
นั่งและทัศนา ก็ขอเชิญที่เกาะสีชังครับ

สถานที่แรกที่สารถีพาเราไปก็คือ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเกาะสีชัง
ที่ไม่ว่าใครจะมาใครจะไปก็ต้องเข้ามานมัสการเจ้าพ่อท่านก่อน
เพื่อความเป็นศิริมงคลในการเดินทาง ชาวคณะของพวกเราใช้เวลาเดินสำรวจ
และเก็บภาพสถานที่แห่งนี้ด้วยเวลาอันน้อยนิด ก็คงเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้
ก็เหมือนกับสาลเจ้าทั่วๆไปตามที่ต่างๆ จึงไม่ค่อยจะมีอะไรให้เราเก็บภาพ
ได้มากนัก ดังนั้น เราจึงรีบเดินทางไปยังสถานที่แห่งอื่นต่อไป
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา




รถสามล้อพาเราปุเลงๆข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของเกาะที่เรียกว่าช่องเขาขาด ไม่รู้ว่า
ชื่อนี่มีที่มาอย่างไร รู้แต่ว่าผมเห็นภาพของช่องเขาขาดเป็นครั้งแรก
ในภาพยนตร์ฟอร์มมหึมาเรื่องหนึ่งซึ่งบริเวณช่องเขาขาดนี้
ถูกใช้เป็น บ้านของพระเอกนางเอก
ซึ่งเป็นชนเผ่าชาวทะเลประมาณ มอร์แกน ของไทยเรา แต่ดูคลาสสิคกว่ามาก
ซึ่งดูแล้วก็ให้นึกในใจว่า ที่ไหนวะเนี่ย สวยฉิบ ต้องไปเที่ยวให้ได้
จากนั้นผมก็เริ่มค้นข้อมูลจากที่ต่างๆ ก้ได้ความว่า เป็นรีสอร์ตแห่งหนึ่ง
บนเกาะสีชังนี่เอง แต่เมื่อวันที่ผมไปถึงก็ปรากฏว่ารีสอร์ตแห่งนั้นได้อพยพย้ายหาย
ไปจากเขตช่องเขาขาดนี้เสียแล้ว นัยว่ามีการบุกรุกพื้นที่ของทางราชการ
อะไรประมาณนี้ รีสอร์ตจึงต้องปิดตัวลงไป และทิ้งไว้แต่เพียง ผาหินที่อยู่ริมทะเล
จะว่าไปก็ดีนะครับ บริเวณที่วยงามขนาดนั้น หากมีใครไปจับไปจองทำกินแล้วละก็
ไม่ช้าไม่นานความสวยงามคงจะถูกทำลายไปด้วยเป็นแน่แท้ แล้วเสน่ห์
ของช่องเขาขาด คงไม่มีอะไรดึงดูดใจคนให้มาที่นี่อีกเลย




จากช่องเขาขาด สารถีพาเราลดเลี้ยวผ่ากลางเกาะ ผ่านชุมชนต่างๆ ผ่านโรงเรียน
ผ่านธนาคาร ร้านอินเตอร์เน็ต และอะไรอีกหลายอย่างที่บนฝั่งมี และที่นี่ก็มี
ผมสังเกตดูวิถีชีวิตของผู้คนบนเกาะและรอบๆตัวที่ รถพาผ่านเข้าไปแล้ว
ให้มีความรู้สึกว่า ชาวบ้าน ชาวเกาะสีชังแห่งนี้ แลดูมีความสุขมากกว่าคนบน
เกาะอื่นๆมากมายนัก ค่าที่ว่าเกาะสีชังนี้
ไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของจังหวัด
รีสอร์ตร้านรวงที่เป็นแบบบูทีกๆ ราคาคืนละพันคืนละหมื่น
ก็คงมีไม่มาก ซึ่งหากจะว่าไปขับรถอีกสักสองชั่วโมงก็จะเจอะเกาะยอดนิยมแล้ว
ก็คือเกาะเสม็ด ซึ่งจะดู"หรูหรา" "ฟู่ฟ่า" และ "แนว" กว่าเกาะสีชังมากมายนัก
ชาวบ้านที่นี่จึงยังคงมีวิถีชีวิตปกติ ไม่ได้จ้องจะกินเลือดกินเนื้อนักท่องเที่ยว
ที่มาเยือนเกาะแห่งนี้ มิตรภาพจากลุงคนขับ และรอยยิ้มริมๆถนนที่พอจะ
เก็บเกียวได้บ้าง จึงยังพอมีให้เห็นมากมาย
จริงๆผมก็เคยได้ไปสัมผัสชีวิตของคนบนเกาะมาหลายแห่ง
พอสมควร เกาะตะรุเตา คนบนเกาะดูเหนื่อยๆ คงเป็นเพราะการเดินทาง
ไปมาระหว่างบนฝั่งและทะเลใช้เวลานานมากกว่าสี่ห้าชั่วโมง คนจึงดูเพลียๆ
ง่วงๆ ไปตามแรงโยนของคลื่นทะเล เกาะเกร็ด อันนี้ข้ามไปมาง่าย
จะเรียกว่าข้ามฟากก็คงได้ ผมได้ทำสิ่งที่แม้แต่ชาวบ้านเกาะเกร็ดเขา
ไม่ทำกันมาแล้วก็คือเดินรอบเกาะ ชีวิตชาวบ้านที่นั่นเรียบง่าย ดูสมถะ
และสงบ รอบๆเกาะพอจะมองเห็นความเป็นชนบทอยู่มาก มีนา มีสวนผลไม้
ร้านค้าที่ขายกันเองในท้องถิ่น เด็กๆมาโรงเรียนและวิ่งเล่นสนุกสนาน
ผิดกับตรงบริเวณหน้าเกาะที่มีนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย
และดูน่ารำคาญกว่าทางหลังเกาะมากมายหลายเท่า
ส่วนเกาะที่ผมไม่มีความประทับใจเลยเวลาที่ไปเที่ยวและรู้สึกแย่ที่สุด
ทุกครั้งที่ไปก็คือ เกาะเสม็ด เหตุก็เพราะทุกอย่างที่นั่น
เป็นเงินเป็นทองและหลอกลวงมากที่สุด
ของทุกอย่างหยิบจับไม่ได้ เพราะสนนราคาจะแพงกว่าร้อยเท่าของบนบก
ผมเคยกินข้าวใข่เจียวจานละแปดสิบบาท ทำแก้วน้ำธรรมดาๆที่บนบกขาย
ราคาไม่น่าจะเกินยี่สิบาทแตก แต่ต้องจ่ายในราคาร้อยบาท
เดินทางรถโดยสารสิบนาทีค่าโดยสารสามร้อยบาท
และยังมีอื่นๆอีกมากมาย ที่เกาะเสม็ดสร้างความไม่ประทับใจให้กับผมเลย
แม้แต่ครั้งเดียวที่ไป เฮ้อ...นี่แหละ เหตุที่ผมชอบการเตนท์นอน
มากกว่าไปอยู่รีสอร์ตเปิดแอร์ เพราะนอกจากความหรูหราและแอร์เย็นแล้ว
มันก็พาให้กระเป๋าสตางค์ใบเล็กบางๆของผมแลผอมโกรกลงไปอีก
และมันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปกว่านอนเปิดแอร์อยู่บ้าน
ธรรมชาติและความสนุกสนาน จากความร่วมมือของคนไปก็ไม่มี
ความตื่นเต้นจากการกางเตนท์ ทำกับข้าว เดินเที่ยว ก็ไม่มี
นอนดุดาวตากน้ำค้างแฉะๆก็ไม่ได้ ง่วงก็นอนห้องใครห้องมัน
หลับฝันตื่นมาว่ายน้ำสระ เฮ้อ...

แปปเดียวเราก็มาถึงจุดที่ทุกคนเล็งๆไว้ว่าน่าจะเป็นจุดที่น่ามาท่องเที่ยว
ที่สุดของเกาะนั่นก็คือ เขตพระราชฐาน บนเกาะสีชังแห่งนี้มีพระราชวังแห่งหนึ่ง
ตั้งอยู่ เนื่องด้วยในอดีตเคยเป็นที่ประทับแปรพระราชฐานในช่วงฤดูร้อนของ
ล้นเกล้าพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรักาลที่ห้า
และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ อีกหลายพระองค์ นั่นก็คือพระจุฑาธุชราชฐาน
ประวิตการสร้างพระราชฐานแห่งนี้ก็มีว่า

โดยได้รับคำแนะนำจากแพทย์หลวงให้ให้เสด็จมาประทับรักษา
พระองค์ที่เกาะสีชัง จนพระอาการทุเลาลง นอกจากนี้
เกาะสีชังยังเป็นที่พักฟื้นของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
ปีพ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จแปรพระราชฐานมายังเกาะสีชัง ซึ่งในขณะนั้น
พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวีทรงพระครรภ์ใกล้มีพระประสูติการ
ดังนั้นรัชกาลที่ 5 จึงทรงสร้างพระราชฐานขึ้นและพระราชทาน
นามพระราชฐานนี้ว่า “พระจุฑาธุชราชฐานตามพระนาม
"สมเด็จพระเจ้าลุกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย"
โดยประกอบด้วย พระที่นั่ง 4 องค์ ได้แก่ พระที่นั่งโกสีย์วสุภัณฑ์
พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ พระที่นั่งโชติรสประภาต์
พระที่นั่งเมขลามณี และ ตำหนัก 14 ตำหนัก ได้แก่
ตำหนักวาสุกรีก่องเก็จ ตำหนักเพ็ชรระยับ ตำหนักทับทิมสด
ตำหนักมรกตสุทธิ์ ตำหนักบุษราคัม ตำหนักก่ำโกมิน
ตำหนักนิลแสงสุก ตำหนักมุกดาพราย ตำหนักเพทายใส
ตำหนักไพฑูรย์กลอก ตำหนักดอกตะแบกลออ ตำหนักโอปอล์จรูญ
ตำหนักมูลการะเวก ตำหนักเอกฟองมุก ซึ่งพระราชทานนาม
ให้สอดคล้องกันหมด
ต่อมาเกิดวิกฤติการณ์ รศ.112 การก่อสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ
ก็ชะงักลง นอกจากนี้ พระองค์ทรงโปรดให้รื้อถอนพระที่นั่ง
และตำหนักบางส่วนไปสร้างไว้ที่อื่น เช่น พระที่นั่งมันธาตุรัตน์โรจน์
ซึ่งเป็นพระที่นั่งเครื่องไม้สักทองสามชั้น
โปรดให้เชิญมาสร้างขึ้นใหม่ใกล้พระที่นั่งอัมพรสถาน ในพระราชวังดุสิต
เมื่อ พ.ศ. 2443 พระราชทานนามใหม่ว่า "พระที่นั่งวิมานเมฆ"
หลักจากเหตุการณ์ ร.ศ. 112 พระจุฑาธุชราชฐานจึงมิได้เป็น
พระราชวังในการเสด็จแปรพระราชฐานตั้งแต่นั้นมา
(ที่มา:วิกิพีเดีย)


เวลาที่ผมถ่ายภาพนี่เป็นเวลาที่ออกจะวุ่นวายมากที่สุดเวลาหนึ่ง ไหนจะจัด
มุมอง หยิบจับอุปกรณ์ วัดแสงจัดรูรับแสง และเล็งจุดที่จะถ่ายว่า ถ่ายท่าไหน
จึงจะออกมาดูดี แลสวยงาม ที่บริเวณพระราชฐานแห่งนี้ก็เช่นกัน
ผมเดินมองหามุมอื่นๆที่มองแล้วน่าจะแปลกตาไปกว่าคนอื่น ก็ไม่ค่อยจะมี
คงเป็นเพราะว่ามุมอื่น คนอื่นๆเขาก็ถ่ายไปหมดแล้ว และที่เห็นๆตามอินเตอร์เน็ต
ก็สวยกว่ามุมที่ผมคาดว่าจะสวยกว่าชาวบ้านเขาเสียด้วย ดังนั้นจึงหลีกไม่พ้น
ที่จะเข้าไปเลือเอามุม "มหาชน" มาถ่ายกะเขาบ้าง ภาพจึงออกมาดาษๆ เนื่องจาก
ฝีมืออันอ่อนด้อย และภาพมุมเดียวกันที่สวยกว่าผมถ่ายนี้
มีให้เห็นอีกเป็นร้อยภาพ คิดแล้วก็อนาถนักในฝีมือตนเอง แต่ก็เอาเถิด
สุขใดจะหาไม่เท่าใช้กระบี่และฝีมือตัวเอง ฆ่ายักษ์ไม่ได้ตอนนี้ ก็ลองๆ
ฆ่ามดไปก่อน วันหนึ่งมันก็คงพัฒนาไปฆ่ายักษ์ได้หรอกน่า จริงไหม






เวลาที่เราทำอะไรเพลินๆนี่มันมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอๆ อย่างวันนี้ที่กำลัง
ก้มหน้าก้มตาเก็บรูปเข้ากล้องอยู่นี่ เผลอแป๊บเดียวก็ใกล้จะเข้าห้าโมงแล้ว
พวกเราจึงต้องรีบเร่งเก็บอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือ
ให้ลุงสารถีพาบึ่งไปขึ้นเรือให้ทันเที่ยวห้าโมงเย็น เพราะเรื่อเที่ยวสุดท้ายจะเป็นเที่ยว
หกโมงเย็น เรากลัวว่าเที่ยวสุดท้ายจะพาให้มืดค่ำ เสียก่อน
และการเดินทางมืดๆในทะเลนี่ ก็คงจะดูไม่ค่อยน่าสนุกสนานเท่าไหร่
เนื่องจากไม่คุ้นไม่เคยสำหรับพวกเรา ดังนั้นลุงสารถีจึงตะบึงห้อ
ออกไปจากพระราชฐานมุ่งหน้าไปยังท่าเรืออย่ารวดเร็ว ปานกามนิตแก่ๆ
ได้ม้าดี แต่ไปถึงก็อนิจา สายไปนิดเดียวแบบเรียกว่า
เส้นยาแดงผ่าแปด เจ้าเรือเที่ยวห้าโมง ออกจากท่า
ไปได้สักหนึ่งวาเห็นจะได้ แหม มันน่าเจ็บใจชะมัดยาด แต่ก็เอาเถิด รออีกแค่
หนึ่งชั่วโมงจะเป็นไรไป


ดังนั้นเมื่อเรือลำที่เราจะโดยสารกลับเข้าฝั่ง
ชลบุรีเข้าเทียบท่า คณะเดินทางของผมจึงลงไปลอยอยู่ในเรืออย่างอ้อยสร้อย
ความง่วงหงาวหาวนอนและสงบเข้ามาเยือน เนื่องจากลมทะเลที่พัดมาเอื่อยๆ
บวกกับความเหนื่อและร้อนแดดยามเย็น ทำให้น้องชายคนหนึ่งถึงกับ
ฟุบหน้าลงหลับบนราวสะพานของเรือไปอย่างช่วยไม่ได้



แต่จะว่าไปเรือรอบนี้ก็มีข้อดีที่เราคาดไม่ถึงอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เราได้มี
โอกาสได้เก็บภาพที่ลืมไปว่าควรจะมีในกล้อง ก็คือรูปของพระอาทิตย์
ยามอัสดงลับขอบฟ้า ซึ่งรออยู่จนไม่ทันเรือออก เราก็ได้เห็นปรากฏการณ์
ที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งในทริปนี้ ทุกๆคนเริ่มตื่นเต้นกับภาพ
ที่เห็นอยู่ตรงหน้าและคว้ากล้องออกมาจากกระเป๋า เก็บภาพ จนกระทั่งเรือ
เริ่มออกจากท่าเทียบเรือ ความสวยของท้องฟ้ายามเย็นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เรื่อยๆ จนกระทั่งตะวันลับฟ้าไป ภาพสุดท้ายก็คือเรือสินค้าลำหนึ่งจอดลอย
อยู่กลางทะเลอยู่เดียวดาย ผมรู้สึกได้ว่าช่วงนี้ทุกๆคนในกลุ่มทั้งอาทั้งหลาน
จะอยู่ในอาการซาบซึ้งกับภาพที่เห็นโดยเฉพาะผมเองเริ่มรู้สึกเหมือนทุกครั้ง
ที่เวลาต้องกลับจากสถานที่ที่หนึ่งโดยยังรู้สึกว่า มันยังไม่อิ่มในความรู้สึก
มันยังไม่เต็มกับความสนุก ผมจึงมีอาการใจหายเสมอ ในเวลาขากลับจาก
ที่ท่องเที่ยวหลายที่ แล้วพวกเราเราก็นั่งมองดูเกาะสีชัง ถูกความืดกลืนหาย
ไปกับท้องทะเลกันอย่างเงียบๆ...






.......................................

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด