ใกล้เกลือ กินด่าง ที่บางปะอิน





ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นชาวจีน ตะแกทำงานอยุ่ที่เดียวกับผมนี่แหละ
ผมเคยถามแกว่า "เหล่าซือ(แกเป็นครูสอนภาษาจีนน่ะครับ
เหล่าซือแปลว่าครูในภาษาจีน)เคยไปกำแพงเมืองจีนไหม"
"ผอมไม่เคยไปครับ...มันไกล" "แล้วพระราชวังต้องห้ามเล่า"
"อันนี้ก็ไม่เคยครับ หมั่น ไกลจากบ้านผอม หมั๊กๆ เลย"
อ้อ ไม่ได้พิมพิ์ผิดนะครับ อันนี้
ผมพิมพ์จากสำเนียงของเหล่าซือแกตรงๆ จึงออกมาเพี้ยนๆ
นิดหน่อย ไม่ได้ จงใจจะแอ๊บแบ๊ว แอ๊บเบิ้ว อะไรทั้งนั้น
"อ้าว แล้วเคยไปจิ่วจ้ายโกวไหมเล่า" "อ้อ อันนี้ก้ม่าย เคยครับ
หมั่น ไกล จากบ้านผอม หมั๊ก จิงๆ ผมเลยอยู่แต่บ้าน"

ถามไปถามมา ผมว่าตรรกะ ของเหล่าซือนี่แปลกดี ไกล เลยไม่ไปมัน
ซะเลย อืม แต่แล้ววันหนึ่ง เหล่าซือก็มาถามผมว่า "พี่ๆ พี่เคยไปเที่ยว
จังหวัดระนองหมาย(หรือไม่) สวยหมั๊ก เลย ผอมไปมาแล้วนะ "เออ ไม่
เคยไปน่ะเหล่าซือ ผมไม่ว่างครับ" "แล้วแม่ฮ่องสอนล่ะ เคยหมาย
ปีใหม่นี้ผอมจะไปนะ เห็นว่าสวยหมั๊กๆเลย อยากไป" "เอ่อ......ไม่เคย"

แล้วก็มีหลายๆที่ที่เหล่าซือแกมาถามๆ ว่าที่นั่นที่นี่ ที่แกไปมาแล้วนี่
ผมเคยไปไหม ก็มีหลายที่นะครับ ที่ผมยังไมเคยไป และข้อแก้ตัว
ก้เป็นอันว่าไม่มีเวลาเหมือนเดิม รู้ไหมครับเหล่าซือบอกผมว่ายังไง
"จารอให้ตาย ก่อนแล้วค่อยปาย เที่ยวหรืองาย ประเทศไทยเล็กนิดเดียว
เที่ยวจังหวัดละปี ยังครบก่อนอายุแปดสิบเลย" พุดจบแกก็เดินส่ายหัว
ดุ๊กดิีกหนีไป ทิ้งผมเอาไว้ให้งงกับคำบอกทีฟังแล้วไม่ค่อยน่ารื่นหูเท่าไหร่

อ้า จะว่าไปก็จริงของแกนะ ขนาดแกเป็นคนจีนนะ ประเทศไทยแกก็ไปมา
หลายจังหวัดเหมือนกัน เคยเอาแผนที่ประเทศไทยมานั่งนับ จิ้มๆกันดู
ปรากฏว่าแกเที่ยวบางภาค มากกว่าผมซะอีก เช่นภาคใต้นี่แกไปมาเกือบ
ครบแล้ว เว้นก้แต่สามจังหวัดภาคใต้ แกล้งๆท้าๆแก ลงไป แกว่า"ผอมจะไป
ถ้ามีรถถัง แล้วก็ปืนใหญ่ กร๊ากๆๆๆ" แกพูดเล่นมุขเอง ขำเองแบบนี้เป็นประจำ
บ่อยมาก แต่ที่ไม่ตลกก็คือ ผมไปเที่ยวน้อยจังหวัดกว่าแกได้ยังไง........
คนไทยแท้ๆ


วันหนึ่งหลังจากสะบักสะบอมมาพอสมควรจากการตากแห้ง สี่ห้าชั่วโมง
บนเรือ บนฝั่ง มีผลให้ผิวดำ(กว่าเดิม) และร่างกายอ่อนล้า
น้องชายเบอร์ห้ามาถามผมว่า "พี่ๆ พรุ่งนี้ไปถ่ายรูปที่บางปะอิน กันไหม"
ในใจผมก็อยากตอบเหมือนเหล่าซือว่า "มันไกล ผอมไม่ไปได้ไหม" ก็
กลัวว่าน้องจะ ถวายผางผมตกเก้าอี้ เพราะขับรถจากบ้านไปบางปะอินนี่
ไม่เกินชั่วโมงก็คงถึง "อืม....ไปก็ได้"

เช้าวันรุ่งขึ้น เราออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ มุ่งหน้าไปยังที่หมาย
พระราชวังบางปะอิน จะว่าไปผมเองนี่ก็จะเรียกว่าเป็นคนอยุธยา
ก็น่าจะได้ ค่าที่มาอาศัยอยู่กับคุณยาย และคุณตา ที่อยุธยา
นานถึงหกปีเต็มๆ ไม่นับอาศัยแบบไปกลับอีกหลายสิบปี
แต่ก็อีกแหละตอนเด็กๆ รัศมีการโคจรไปเที่ยวก็คงไม่พ้น
หกเจ็ดกิโลจากบ้าน เที่ยวช้อนปลาตามสวน ดำน้ำจับปลา
สอยมะขามเทศริมทาง นอนดูว่าวลอยเคว้งคว้างในหน้าร้อน
กระโดดน้ำดำผุดดำว่าย ไปตามเรื่อง แค่นี้ก็มีความสุข
ตามประสาเด็กบ้านนอกแล้ว ไอ้จะจับรถจับเรือไปเที่ยวไกลๆ
บอกเลิกศาลาได้เลย มีหวังไม้เรียวลงก้น พระราชวังบางปะอิน
จึงเป็นแค่เรื่องเล่า ที่ผู้ใหญ่เล่าว่าสวยงาม แล้วก็บังเอิญผ่านมา
เข้าหูซ้าย และหล่นออกไปทางหูขวาของเด็กอย่างผม

แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อประมานสิบกว่าปีที่ผ่านมา ด้วยว่าช่วงนั้น
หลอกสาวกรุงมาเป็นแฟนได้หนึ่งนาง ไอ้จะพาไปเดินห้างกินไอติม
มันก็ผิดวิสัยคนอยุธยาอย่างผม มันต้องพาไปรู้จักกันให้ถึง "บ้าน"
ผมก็เลยพาเธอไปพระราชวังบางปะอิน ซึ่งนั่นก็เป็นการไปเยือน
ครั้งแรกของผมเหมือนกัน จะเล่าให้อายกว่านั้นนิดหน่อยก็คือ
คราวนั้นไม่ได้สนใจจะดูนิวาสสถานวังเวียงอะไรหรอก
แค่หลอกพาสาวมาหาที่เงียบๆ เดินคุยกระหนุงกระหนิงกัน
แค่นั้น รูปถ่ายครั้งกระนู้นถ้าเอามาเปิดดู จะเห็นว่าไม่มีรูปวัง
นิเวศน์ แม้แต่ใบเดียว จะมีก็แต่นางผู้เป็นที่รักปรากฏอยู่บนภาพถ่าย
เต็มไปหมด(ขออนุญาติใช้สำนวนลิเก คนอยุธยาดูลิเกทุกคน)
ดังนั้นพระราชวังบางปะอินในครั้งกระนั้น จึงเป็นเสมือนอากาศ
ในความทรงจำของผม


เรามาถึงพระราชวังบางปะอินราวสิบเอ็ดโมงแก่ๆ อากาศเดือน
ธันวาคมนี่ก็ชักเพี้ยนไปกันใหญ่แล้ว ลมหนาว ลมโชยหายไปหมด
เหลือแต่ความร้อนระอุ พาให้เหงื่อกาฬตกเต็มหน้า
ผมลงจากรถติดแอร์ด้วยอาการอิดออดนิดหน่อย ค่าที่กำลังสบาย
และง่วงหาวกับอากาศเย็นๆ แต่ต้องลงมาเจอแดดเปรี้ยงป้างพา
ชวนให้ตัวดำ แต่ก็นะ มาถึงแล้วนี่ ลงมือเลยแล้วกัน

กล้องถูกล้วงออกมาปฎิบัติหน้าที่ของมันอย่างเคย
วันนี้คนข้องข้างหนาตา เนื่องจากเป็นวันหยุดของทางราชการ
ในพระราชวังจึงมีนักท่องเที่ยวเดินไปมาขวักไขว่อยู่

พระราชวังบางปะอินนี่มีประวัติก่อนหน้ามายาวนานแค่ไหน
ผมก็ไม่สามารถหาข้อมูลลึกๆมาแสดงได้(เนื่องจากเกียจคร้าน
การงานหลายสถานพอสมควร หากสนใจใครหาดูเอาเองเถิดท่าน)
ทราบแต่ว่าถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง
พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทรงสร้างไว้
เป็นที่ประทับใกล้พระนคร แต่ต่อมาก็ถูกทิ้งให้ร้างไปหลายนาน
จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า
ทรงมีพระราชปฏิสันฐานให้บูรณะ ขึ้นมาใหม่
ซึ่งทรงโปรดให้สร้างไปในแบบอย่างตะวันตก
ก็คงเป็นพระประเทศสยามของเราในช่วงเวลานั้น
กำลังเปิดเข้าสู่ยุคแห่งการติดต่อและสัมพันธไมตรีกับชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตก และกระแสธารของวัฒนธรรม
ทางสถาปัตยกรรมจึงไหลถาโถมเข้ามาสู่เมืองสยามของเรา
ดูได้จากสิ่งก่อสร้างในสมัยช่วงเวลานั้นมีลักษณะ
ของตะวันตกเสียหมดสิ้น ตัวอย่างก็เช่น
พระที่นั่งอนันตสมาคม พระทีี่นั่งวิมานเมฆ รวมไปถึง
พระราชวังสนามจันทร์และพระราชฐานจุธาฑุช
บนเกาะสีชัง รวมไปถึงพระที่นั่งหลายๆแห่ง
ในอาณาบริเวณพระราชวังบางปะอินแห่งนี้ด้วย

รูปที่ถ่ายที่บางปะอินนี่ก็มีแต่รูปของอาคารพระราชฐาน
ซึ่งเป็นตึกรูปทรงตะวันตกเสียส่วนใหญ่
ด้วยว่าแดดร้อนโครมคราม ผมจึงแอบเลี่ยงๆเข้าไปชม
ด้านในของ"พระที่นั่งวโรภาษพิมาน"เสียหน่อยหนึ่ง
เพื่อให้ความร้อนได้บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง
พระที่นั่งวโรภาษพิมาณนี่ดูจากภายนอกแล้วเหมือน
กับห้องสมุดเมืองนอก ตามโปสการ์ดหรือภาพถ่ายที่ได้เห็น
กันอยู่บ่อย แลรูปทรงยังคล้ายวิหารพาเธนน่อนของกรีก
มีเสาค้ำหลังคาอยู่หน้าอาคารหลายต้น
ภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงสิ่งของเครื่องใช้ใน
รัชกาลที่ห้า เสียดายที่ห้ามถ่ายภาพ เพราะภายใน
พระที่นั่งแห่งนี้ "วิจิตร และ ตระการตา" มากจนผมอยาก
จะถ่ายภาพเก็บไว้ดูเล่น แต่ก็ต้องยั้งๆมือไว้เพราะมีข้อห้าม
ถ่ายรูป แปะหราอยู่บนฝาผนัง



แม่หญิงลาว นุ่งซิ่นมาเที่ยววัง


ออกจากพระที่นั่งวโรภาษพิมาน ทางด้านขวาจะมีสะพานไม้ยาว
ข้ามสระน้ำไปยังอีกฟากหนึ่งของสระ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ"พระที่นั่ง
อุทยานภูมิเสถียร" ซึ่งพระที่นั่งแห่งนี้แต่เดิมเป็นเพียงเรือนไม้
สองชั้นแบบชาเลต์ของสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาถูกไฟไหม้เสียหาย
หมด พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถองค์ปัจจุบัน
จึงทรงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติสร้างขึ้นใหม่ในปี
พ.ศ. 2537 และไม่ได้เปิดให้เข้าชมแก่บุคคลภายนอก
ผมจึงได้แต่เดินดูรอบๆและเก็บได้แต่ภาพพระที่นั่ง และดอกปีบ
หรือดอกกาสะลอง ที่ร่วงหล่น ส่งกลิ่นหอมเย็นใจ ขึ้นอยู่
อยู่เรียงรายหน้าพระที่นั่ง



ข้ามสะพานทางด้านหน้าของพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร จะพบกับ
หอดูดาวขนาดใหญ่ ตระหง่านอยู่ตรงหน้า หอดูดาวและชมทิวทัศน์
แห่งนี้มีชื่อว่าหอวิฑูรทัศนา ผมสงสัยอยู่ว่าวิทูร กับวิฑูร นี่ความหมาย
เดียวกันหรือเปล่าจึงไปลองเปิดพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
มาดู ก็ได้ความรู้ว่าแปลเหมือนความเดียวกัน ซึ่งแปลว่า ที่ห่างไกล
อันห่างไกล ห่างไกล ดังนั้นหอวิฑูรทัศนาก็แปลตรงๆตัวได้ความเลยว่า
หอเอาไว้ทรงทอดพระเนตรอะไรไกลๆ สมัยก่อนผมว่า
หากขึ้นไปดูวิวบนที่สูงๆนี่คงน่าสนุกสนานมิใช่น้อย เพราะตึกสูงๆ
ที่สามารถมองไปได้ไกลๆนี่คงจะมีอยู่ไม่กี่แห่ง
คงจะน่าตื่นเต้นมากถ้าในสมัยนั้นเราได้ มองเห็นอะไรอะไร
ได้ไกลและสูงกว่าปกติ ซึ่งคนธรรมดาสามัญคงไม่มีโอกาส
นอกจากจะขึ้นเขา ปีนต้นไม้ดูวิวไปตามเรื่อง
แล้วก็เป็นไปดังคาด คนครับ คนเป็นสิบทะยอยกันเดินขึ้นไปทัศนาวิว
บนหอแห่งนี้อย่างแน่นขนัด ไอ้ผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบเบียดเสียดกับ
ชาวบ้านเขาเสียด้วย จึงได้แต่เพียง ทัศนา "วิวชั้นต่ำ" อยู่ใต้หอกับน้องชาย
และแม่หญิงลาว



อากาศตอนนี้ผมว่าน่าจะสักสามสิบองศา ขึ้นไปเห็นจะได้ ยามที่ต้องเดินฝ่า
แดดเปรี้ยงๆ ออกไปนี่สำหรับผมถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะทำที่สุด
เนื่องด้วยผมเป็นคนประหลาด คราวใดไปโดนแดด โดนลม ผิวชาวบ้าน
เขาก็จะแดง หรือไม่ก็ดำอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว วันสองวัน
ก็กลับมาขาวผ่องเป็นยองใยดังเดิมได้ แต่ของผมนี่จะใช้เวลานาน
บางทีก็ว่ากันไปหลักเดือนสองเดือน กว่าจะกลับมา"ดำน้อยหน่อย"
(ไม่ขาวครับ บรรพบุรุษของผมที่ผิวขาวมียายคนเดียว แต่ด้วยความที่ ปู่ ย่า
ตา รักมาก จึงเอาผิวดำมาฝากเอาไว้ให้เต็มที่ แบบไม่เกรงใจกัน
นัยว่าคงเป็นหลานรักหลานชัง...เฮ้อ) งานนี้ผมจึงแทบจะวิ่งหลบเข้าไปยัง
พระตำหนังอีกแห่งที่อยู่ถัดจากหอวิฑูรทัศนา นั่นก็คือพระที่นั่งเวหาศจำรูญ
เพื่อหลบร้อน





พระที่นั่งเวหาศจำรูญ หรือ เทียนเหม๋งเต้ย ในภาษาจีน เป็นพระที่นั้งรูปทรง
อาคารแบบเก๋งจีน ซึ่งพ่อค้าวาณิชชาวจีนในสมัยรัชกาลที่ห้าสร้างถวาย
เครื่องแต่งพระที่นั่ง และห้องหับต่างๆรวมทั้งของใช้ นำมาจากเมืองจีน
ทั้งหมดทั้งสิ้น ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปชมความงามของพระที่นั่ง
แห่งนี้ แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดาย พระที่นังแห่งนี้ไม่สามารถ
เดินเข้าไปชมถึงด้านในได้ ผมจึงได้แต่มองกวาดสายตาผ่านกระจก
ที่จัดไว้ให้ดูเฉพาะบางส่วนของพระที่นั่งเท่านั้น




จากพระที่นั่งเวหาศจำรูญ ผมหาทางที่จะโดนแดดน้อยที่สุด ได้ทาง
หนึ่งคือเดินเลาะแถวๆริมสระ ซึ่งมีแนวต้นไม้ขึ้นเป็นทาง ขนาน
ไปกับทางเดิน ซึ่งตอนนี้ท้องใส้ก็ปั่นป่วนและร้องหาน้ำและ
อาหารแล้ว เนื่องด้วยเกินเวลาบริโภคมาหลายชั่วโมง
เราจึงมาแวะพักที่ประตูเทวราชครรไล เพื่อนั่งเอาแรง
หย่อนแข้งหย่อนขา หาน้ำหาท่ากินให้เย็นๆใจ แล้ว
ก็เลือกเอาวิวที่สามารถมองเห็น"พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์"
พระที่นั่งทรงไทย ที่ถอดแบบมาจากอาภรณ์ภิโมข์ปราสาท
ในพระบรมหาราชวัง พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ แห่งนี้
โดยปกติแล้วจะเป็นเสมือน จุดสำคัญ หรือภาษาอังกฤษคง
จะเรียกว่า Landmark ของพระราชวังบางปะอินนี้ก็คงจะเป็นได้
เพราะถ้าเอ่ยคำว่าพระราชวังบางปะอิน หรือ
เห็นภาพพระราชวังบางปะอิน พระที่นั่งแห่งคงจะต้องเป็น
สถานที่ ที่คนมักจะนึกถึงก่อนเป็นอันดับแรก เนื่องด้วยความ
สวยงามของพระที่นั่งที่เหมือนกับชื่อ คือ ไอศวรรย์ทิพยอาสน์
คือสวยราวกับ เป็นวิมานของอินทร์ พรหม บนสวรรค์เลยทีเดียว
และจากตรงนี้เวลาช่วงแรกของพระราชวังบางปะอินก็หมดลง
ด้วยว่าเราหิวกันแล้ว และยังคงมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เราจะ
ไปในช่วงบ่าย นั่นก็คือวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ

หลังจากที่จัดการกับกุ้งแม่น้ำตัวขนาดเท่าฝ่ามือผม
เสียเรียบวุธ จะว่าไปผมเป็นคนอยุธยาก็ไม่เคยเห็นกุ้งตัวเขื่อง
ขนาดนี้มาก่อน นับเป็นเรื่องแปลกใจนิดหน่อย แต่พอเดินผ่าน
บ่อกักกุ้ง ผมก็รู้ในใจทันทีว่า นี่ไม่ใช่กุ้งแม่น้ำหรอก เป็นแค่กุ้งแม่
น้ำที่เขาเลี้ยงๆกันไว้ในกระชังนั่นเอง
หากจะถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนกุ้งแม่น้ำ อันไหนกุ้งเลี้ยง
แล้วไซร์ ขอให้ถามคนอยุธยา น่าจะรู้ดีที่สุด เพราะจับกันมาตั้ง
แต่เล็กแต่น้อย ดูแปปเดียวก็รู้ หากว่าเป็นกุ้งแม่น้ำจริง
ลักษณะจะดูเขียวๆ ก้ามจะอุดมไปด้วยตะใคร่เกาะ แลดูสกปรก
แต่นั่นแหละธรรมชาติของกุ้งแม่น้ำ ย่อมมีตะใคร่เขียวจับ
เป็นธรรมดา แต่กุ้งในบ่อกักที่เห็นนี่สะอาดเกินไป เนื้อตัวสวย
น่ากิน นี่แหละหนา สวยแต่รูป จูปไม่หอมและอร่อย...

รถแอร์เย็นพาเราไปมาจอดณ. ที่จอดรถริมแม่น้ำเพื่อที่จะข้ามกระเช้า
ไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดนิเวศธรรมประวัติ
กระเช้าข้ามฝั่งนี่ทีแรกผมก็จินตนาการไปถึงประมาณกระเช้า
เล่นสกีบนเขา ที่แลดูปลอดภัย ไฮโซและอัตโนมัติ ตามที่เคยเห็นในภาพ
ถ่าย แต่ของจริงไม่เป็นดังนั้น มีแค่ไม้กันสี่ด้าน หลังคากันแดด
พื้นเป็นเหล็ก แขวนอยู่บนลวดสลิง บังคับการด้วย"พระสงฆ์"(นัยว่า
หลวงพ่อดูอยู่โยม ปลอดภัย ปลอดภัย) งานนี้แม่หญิงลาวถึงกับออก
อาการประหวั่นพรั่นพรึงให้เห็นทางสีหน้า
แต่แล้วการข้ามน้ำก็ใช้เวลาเพียงสั้นซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น
จะมีก็แต่ผมมองซ้ายมองขวา หาคนเก็บสตางค่าข้ามกระเช้า
แต่ก็หมดสงสัยด้วยเห็นตู้บริจากตามสะดวก ตั้งไว้ตรงทางเดิน
ผมจึงหยอดสตางค์ลงไป เพื่อช่วยกันต่ออายุและทำนุบำรุงพระ
พุทธศาสนารวมถึงกระเช้า


วัดนิเวศธรรมประวัตินี้เป็นวัดที่ถอดแบบมาจากวัดในคริสต์ศาสนา
ซึ่งเป็นแบบโกธิค มาสร้างเป็นพระอุโบสถ รวมถึงกุฏี
ในเขตสังฆาวาส ทุกหลังก็มีรูปทรงแบบทางตะวันตกทั้งสิ้น

ข้อเสียอย่างหนึ่งของเจ้ากล้องของผมก็คือตัวเลนส์ ซึ่ง
เป็นเลนส์ที่ติดมากับกล้อง ภาษากล้องเรียกว่า"เลนส์คิท"
แปลว่า เลนส์สารพัดถ่าย แบบเริ่มต้น ซึ่งข้อจำกัดก็คือ
ไม่สามารถถ่ายแบบเจาะจงให้ได้แบบเลนส์ชนิดอื่น
และด้วยความที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติแห่งนี้
ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้าเจ้าพระยา พื้นที่จึงมีไม่มาก
กุฏี โบสถ์ วิหาร ศาลาต่างๆ จึงอยู่กันอย่างเบียดๆ
ทำให้พื้นที่ในการเคลื่อนที่น้อยมาก ผมจึงไม่สามารถ
ถอยหลังเพื่อไปเลือกมุมที่สามารถเก็บความสวยงามตั้งแต่
พื้นโบสถ์ จนถึงปลียอดหลังคาได้ ภาพที่ออกมาจึง
ไม่ขาดบน ก็ขาดล่าง ดูแล้วอึดอัดพอสมควร และผมก็จึง
ได้ตั้งนิยามให้กับเลนส์คู่ใจตัวนี้ว่า "ซูมก็ไม่ได้ไวด์ก็ไม่ถึง"
ซึ่งหมายความว่า จะถ่ายภาพวัตถุที่อยู่ไกลๆ ระยะของกล้องก็
ไม่สามารถเข้าไปถ่ายแบบประชิดได้ หรือจะเก็บภาพใน
มุมแคบๆ ให้เห็นทั้งหมด ก็จะขาดบน ล่างอย่างละนิด
อย่างละหน่อย ให้อึดอัดขัดใจตลอดเวลา เฮ้อ เอาเอา
ใช้ไปก่อน วันไหนเก่งกล้าสามารถ จะเอาซูมดีสักตัว
มาถ่ายให้เห็นไปถึงดาวดึงส์เลยคอยดู



ผมวนๆหามุมถ่ายภาพอยู่หลายภาพจนรู้สึกว่า วนไปวนมา
ก็คงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว จึงอยากจะเข้าไปถ่ายภายใน
อุโบสถดูบ้าง จึงจัดแจงถอดรองเท้าและเดินย่องๆ เข้าไป
อย่างสำรวมตามแบบกริยาของชาวพุทธพึงกระทำ ภายใน
ของโบสถ์แห่งนี้ ถูกตกแต่งและแระดับประดาไปด้วย กระจกสี
ตามแบบอย่างลักษณะของโบสถ์ชาวคริสต์ ต่างกันก็เพียง
แต่ ตรงส่วนที่เป็นฐานชุกชี ตามปกติ จะมีไม้กางเขน
และพระเยซูเจ้ามาเป็นจุดกลางของความศรัทธา
ก็มีพระพุทธรูปหลายองค์ โดยเฉพาะ"พระพุทธนฤมล
ธรรมโมภาศ" ตั้งเป็นพระองค์ประธานอยู่แทนที่
ทั้งด้านบนของกระจกหน้าต่างด้านหนึ่ง จัดทำเป็นกระจกสี
เป็นรูปสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า ทรงเครื่องต้น
ดูแล้วสวยงามจับใจยิ่งนัก และหลวงพ่อที่นังคอยอรรถา
ธิบายความเป็นมาของวัด และสิ่งต่างๆที่เราได้เห็นอยู่ใน
โบสถ์แห่งนี้ประกอบการรับชม นับว่าเป็นการมาที่คุ้มค่า
ยิ่งนักเชียวสำหรับทริบนี้ อ้อ ผมไม่ลืมหยอดสตางค์ทำบุญ
ตามศรัทธาไปจำนวนหนึ่ง และไม่ลืมที่จะอฐิษบานให้ตนเอง
ได้ไปถึงนิพพานกับเขาบ้าง เพราะเบื่อสังสารวัฏ เหลือทน
สาธุ

เมื่อย่างเข้าบ่ายปลายตะวัน เราทั้งสามก็ได้มีโอกาสข้ามกระเช้า
กลับไปยังฝั่งบางปะอินอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะนั่งรถแอร์เย็นๆ
กลับกรุงเทพเสียที ผมไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นไปและประนม
มือไหว้ พระสงฆ์ที่นั่งบังคับการกระเช้า อยู่บนหอสูงๆ
คอยโยกคันส่งให้กระเช้าข้ามไปมาระหว่างแม่น้ำ
แล้วหลวงพ่อท่านก็อวยพรให้ผมจากบนนั้น
ซึ่งผมก็จับความไม่ค่อยได้เท่าไหร่ค่าที่ไกลกันเหลือเกิน
แต่เลาๆได้ประโยคหนึ่งคือ "แล้วมาเที่ยวอีกนะโยม"
ประโยคนั้นทำให้ผมรู้เศร้าใจเล้กน้อย
เพราะจู่ๆก็คิดถึงบ้านที่อยุธยาขึ้นมาทันที
บ้านที่อยุธยาของผมก็คล้ายๆกับ บางปะอินนี่แหละ
เป็นบ้านไทย ติดริมคลอง ลมพัดเย็นๆ
คิดถึงนั่งกินข้าวราดแกงที่ปลายสะพานเหลือเกิน
คิดถึงคลอง คิดถึงเพื่อนเก่าๆ ไอ้แปดลูกสมุน ไอ้เก้า
สมุนของสมุนอีกที ป่านนี้มีลูกมีเต้าปลูกเหย้าปลูกเรือน
กันไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เฮ้อ....
จะว่าไปแล้วผมจากบ้านอยุธยามาหลายปีดีดัก เคย
ตั้งใจจะไปนอนเล่นเย็นๆใจสักวันสองวันหลายหน ก็
ผลัดแล้วผลัดเล่า จนล่วงมาสามสี่ปีแล้ว ทั้งๆที่อุตส่าห์
ดั้นด้นไปไหนๆได้ไกลๆ ไปพิษณุโลก ไปกาญจนบุรี
ไปประจวบ ไปชุมพร ยังไปได้ แต่แค่เจ็ดสิบสอง
กิโลเมตร ยังไม่มีโอกาสได้ไปเสียที จนพี่สาวคนหนึ่ง
ที่อยุธยา โทรมาค่อนขอดเอาหลายหนแล้วว่า
"ทีไปไหมาไหนไกลๆรอบทุ่งรอบท่าไปได้
ทีมาบ้านมาไม่ได้ จำเอาไว้เลย" อ่า อย่างนี้แหละหนาคนเรา
จะเรียกว่า ใกล้เกลือกินด่างจะได้ไหมหนอ เอาหละ
วันหนึ่งไม่ไกลนี้หรอกน่า จะกลับไปบ้านให้มันชื่นหัวใจ
สักวันสองวัน ตอนนี้ขอกลับไปดำรงชีวิตเป็น
คนเมืองก่อน อีกหน่อยเบื่อๆ ค่อยกลับไปเป็นคนบ้านนอก
เหมือนเดิมแล้วกัน......



.....................................................................................







โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด