ตับแตก นอนหนาว และมะลิชายขันหมาก





ก่อนอื่นคงต้องกล่าวสวัสดีปีใหม่แบบไทยๆกันก่อนนะครับ
ก็ขอให้ท่านผู้เข้ามาอ่านทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข สมหวังและโชคดี
ตลอดไปจนกว่าปีหน้าฟ้าใหม่จะมาเยือนนะครับ คิดอ่านประการการใด
ขออย่าให้ติดอย่าให้ขัด ที่มีความสุขอยู่แล้ว
ก็ขอให้มีเพิ่มพูนล้นทวี ที่ยังไม่ค่อยมี ก็ขอให้ได้มีเพิ่มไปอีก
ที่ยังไม่มีเลยนี่ปีนี้ขอให้มีสักสุขหนึ่งก็แล้วกันนะครับ
ส่วนท่านใดที่ยังคอยสอดส่องมองหาคนข้างเคียง ขอให้ปีนี้มีโชคดี
รถไฟเข้ามาแวะเสียแถวๆบ้าน สักขบวนแล้วกัน กราบงามๆนะครับ

จะบอกว่าเริ่มต้นเรื่องนี่หาทางเข้ายากมาก แถไปอวยพรนี่ถือเป็นเทคนิค
ส่วนบุคคลในการเริ่มต้นเขียนเรื่องต่างๆนาๆ ฉะนั้นขอสงวนสิทธิ์
ห้ามลอกเลียนแบบ



แล้ววันนี้ผมก็กลับมานั่งจับเจ่าอยู่ที่ทำงานเหมือนเคย
หลังจากที่ออกจากกรุงเทพไปเมื่อเช้าวันที่ สิบสี่ เมษายน
เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปีนี้มีวันหยุดมากถึงเกือบสิบวัน
ซึ่งก่อนหน้าวันหยุดจริงนี่เป็นเวลาที่ผมชอบที่สุดและไม่ชอบที่สุด
อ้าว ไม่งง ครับ ไม่งง ไอ้ที่ชอบที่สุดนี่ก็คือ
มันเป็นเวลาของการปลดปล่อยจินตนาการเราจะคอยมานั่งนึกเอาว่า
พอหยุด เราจะไปไหน ไปทำอะไร เจอใครบ้างพบใครบ้าง
จะได้ไปกินอะไรกับใครบ้าง เรียกว่าช่วงก่อนหยุดจริงสักวันสองวันนี่
ใครเดินผ่านมาแถวๆห้องทำงานของผม จะเห็นคนบ้านั่งยิ้มไปยิ้มมา
แอบขำแอบหัวเราะอยู่คนเดียวอยู่บ่อยๆไม่ได้บ้านะครับ
เพียงแต่แค่สำลักจินตนาการเท่านั้นเอง...
หรือถ้าเป็นสาวๆ (ประเภทภรรยาผมนี่ไม่รู้จัดว่าสาวได้หรือเปล่า...น่าจะได้นะ)
เจ้าหล่อนจะตื่นเต้น สาละวน วุ่นวาย กับการมองหาเสื้อผ้าใหม่ๆ
รองเท้าสวยๆ กระเป๋าใบใหม่ เครื่องสำอางค์และของตกแต่งอีกล้านสี่
ซึ่งมันมักจะต้องใช้เวลาและสมองอย่างมากในการค้นหาเพื่อให้ได้มา
ซึ่งความสวยงาม อันเป็นสิ่งที่สตรีทุกนางปราถนาจะมี ในสามโลก
และเมื่องสรรหามาได้ นั่นและความสุขจะบังเกิดโดยที่ผู้ชายอย่างเรา
ไม่สามารถเข้าใจได้ ฮ่วย หาฮาไม่



ส่วนไอ้ที่ไม่ชอบที่สุดนี่น่าจะมีคนรู้สึกเหมือนผมหลายคนแหละ เรื่องที่ว่าก็คือ
การรอให้วันหยุดมาถึงสักที ตอนนี้แหละมันทรมานที่สุดเชียวครับ
อีกสองวัน วันหนึ่งนี่จะหยุดอยู่แล้วเชียว
เวลาเจ้ากรรมมันก็เหมือนจะเดินช้าอ้อยสร้อยหรือเหมือน
พาลจะแกล้งหยุดไปเสียเฉยๆเลยก็บ่อยๆ ช่วนั้นนาฬิกาจะถูกดู ถูกมอง
แทบจะทุกๆ สิบนาทีก็ว่าได้ งานการที่ทำก็รู้สึกว่า
มันเสร็จยากเสร็จเย็นขึ้นมาเสียเฉยๆ
พระอาทิตย์ก็ดูเหมือนจะไม่อยากจะลับขอบฟ้าขึ้นมาเสียดื้อๆ
เรียกว่าออกไปดูท้องฟ้าทีไรมันก็ยังสว่าอยู่เ้หมือนตอนเช้าเสมอๆ
มีใครเป็นเหมือนผมไหมครับนี่หรือว่าผมบ้าอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่เป็นไรครับ
เมื่อเวลาหยุดมาถึง อาการทุรนทุรายมันมักจะหายไปเองเสมอแหละ
ไม่ต้องไปหายา หามดหมอที่ไหนมาแก้หรอก


เช้าวันที่สิบสี่ผมออกรถจากบ้านราวๆตีห้า เพื่อมุงหน้าไปยังปลายทางที่พิษณุโลก
ทริปเที่ยวคราวนี้มีจุดประสงค์อยู่สองเรื่องคือหนึ่งเที่ยวกันไปตามปกติ
กับสอง มีงานแต่งงานน้องสาวในช่วงนั้นพอดี

หนทางที่ไปนี่ เที่ยวนี้ก็ออกจะแปลกสักหน่อย ปกติออกทางรังสิต
ว่ากันตรงๆไปจนนครสวรรค์เลี้ยวขวาก็ร่ายยาวเข้าพิษณุโลกได้เลย
ถ้าจะพูดให้ดูเกินๆหน่อยต้องบอกว่าหลับตาขับก็คงถึง
(ถ้าไม่คว่ำตายเสียก่อนอีตอนเลี้ยวออกตรงปากซอยบ้านนะ)
เที่ยวนี้เส้นทางถูกเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่งซึ่งผมไม่เคยจะเข้ามาทางนี้เลย
คือเส้นทางตากฟ้า แยกขวาจากสิงห์บุรีไปพิษณุโลก
ต้นเหตุก็ไม่ใช่ใคร พ่อผมที่ควาวนี้ยอมมออกจากบ้านมาด้วย จะขอไปเยี่ยม
เยือนถิ่นเก่า ในสมัยที่ยังรับราชการอยู่แถวอำเภอแเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก
เส้นทางคราวนี้จึงออกไม่คุ้นกันกับผม การเดินทางจึงต้องค่อยๆคลำกันไปจนถึง
ปลายทาง เรียกว่าหลงกันตั้งแต่ออกจากสิงห์บุรีกันเลยทีเดียว
แต่จนแล้วจนรอด ก็ไปจนถึงพิษณุโลก และพาพ่อไปเยี่ยมชม
และรำลึกอดีตได้สมใจท่านแล


จริงๆทริปเที่ยวนี้เริ่มต้นกันในวันที่สิบห้าตอนเช้า ทริปที่ว่าคือการเดินทางไปยัง
อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ โดยการจัดการจองที่หลับปรับที่นอน
และอาหารการกินของคุณอาท่านหนึ่งที่อยู่ที่พิษณุโลกเป็นโต้โผใหญ่
ส่วนลูกเด็กเล็กแดงก็มีหน้าทีเดินทางไปเที่ยวกันให้สนุกโดยไม่ต้องเตรียมอะไร
เลยในครวนี้เรียกว่าเอาตัวไปเที่ยวอย่างเดียวพอ

รถเคลื่อนตัวออกจากอำเภอเมืองตอนสิบเอ็ดโมงกว่าๆ วิ่งยาวขึ้นไปตามทาง
สายเอเซียที่จะขึ้นไปทางอุตรดิตถ์ แต่มาเลี้ยวขวาไปตามถนน
ที่มุ่งตรงไปยังเขื่อนเจ็ดแคว ตรงไปยังสามแยกโป่งแค อำเภอวัดโบสถ์
จากนั้นก็วิ่งตรงเข้าอำเภอชาติตระการ
ระหว่างที่เดินทางนี่ถือเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากๆสำหรับผม
เส้นทางที่เราผ่านไปนี่เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดเส้นทางหนึ่ง
ในบรรดาเส้นทางเดินรถในประเทศไทยเลยทีเดียว
คือขนาดที่ว่า อากาศในตอนนั้นน่าจะอยู่ราวๆสี่สิบองศาในตอนเที่ยง
ผืนดินและไร่นาตามสองข้างทางนี่มองเห็นแต่หัวระแหง
สีเขียวของใบไม้นี่แทบจะไม่มีให้เห็น
แต่จะถูกแทนที่ด้วยสีน้ำตาลของความแห้งแล้ง และร้อนชนิดที่เรียกว่า
ตับแตก กันเลยทีเดียว ซึ่งผมมองลึกไปกว่านั้นเลยว่านี่ขนาดหน้าร้อน
ถนนเส้นนี้ยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าหน้าหนาวหรือหน้าฝน
ผมว่าถนนเส้นนี้คงจะสวยงามมากอย่างแน่นอน
ครับคราวหน้าคงไม่ต้องสงสัยนะว่าผมจะไปเที่ยวแถวไหน
จะว่าไป อาการตับแตกนี่ไม่รู้ว่าเด็กรุ่นหลังๆจะรู้ความหมายหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ความจริงตับนี่ไม่ได้หมายถึงอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายนะครับ แต่หมายถึง
ตับที่ชาวบ้านทำจากใบจากนำมาสานรวมก้นเป็นแถวๆ หนึ่งแถวยาวราวๆ หนึ่งเมตร
เรียกว่าหนึ่งตับ ในหน้าร้อนถ้าอยู่บ้านหลังคามุงจากจะได้ยิงเสียใบจากที่แห้งมากๆ
แตกลั่นดังเปรี๊ยะๆ และนั่นก็คือที่มา หาใช่อวัยวะของร่างกายแตกดับแต่อย่างใด





ขบวนท่องเที่ยวของเราเข้ามาสู่อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ ราวๆบ่ายแก่ๆ
อากาสในป่าที่อุทยานตอนนั้นร้อนมาก จนกระทั่งเริ่มมีคนบ่นว่ากลับเข้าเมืองตอนนี้
จะทันไหม ตัวผมเองก็ร้อนเหงื่อกาฬตกเต็มหน้า
น้ำดื่มหลายขวดหมดไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ถูกขับออกมาเป็นเหงื่อ
อย่างรวดเร็วเช่นกัน พวกเราขนของใช้เสื้อผ้าเข้าบ้าน
แล้วก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปหาอะไรทำแก้ร้อน คณะสูงวัยก็เห็นจะจับกลุ่มคุยกัน
อย่างออกรส ส่วนวัยรุ่นก็เดินชมนกชมป่าไปตามเรื่อง
ไอ้วัยกลางคนอย่างผมก็แก้ร้อนด้วยการเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่
อำเภอชาติตระการและอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
ห่างจากตัวเมืองราวร้อยกว่ากิโล ใช้เวลาเดินทางราวๆสักสองชั่วโมงก็น่าจะถึง
สภาำพป่าในเขตอุทยานเป็นป่าเต็งรัง อยู่ในเขตหินทราย
พื้นดินแถวๆอุทยานจึงค่อนข้างไปทางดินทราย ปนฝุ่นละเอียด
เวลานั้นผมก็เดินลากสังขารผ่าอากาศร้อนๆไปเรื่อย
ต้นไม้ใบหญ้าในหน้าแล้งนี่ดูแล้วไม่ค่อยเจริญหูเจริญาตาเสียเท่าไหร่
มองไปรอบๆตัวก็จะเจอแต่สีน้ำตาลแห้งๆ หญ้าบนพื้นในตอนนี้ก็เป็นแค่
หญ้าแห้งๆ มีฝุ่นจับอยู่ตามใบ ต้นสักต้นยางก็ทิ้งใบลงพื้นหมด
เพื่อเตรียมผลิใบใหม่ ยามหน้าฝนมาถึง ลูกยางนาตกอยู่ตามพื้น
หลายร้อยลูก ผมยังอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาโยนขึ้นฟ้า เพื่อดูตอนมันหมุน
เป็นใบพัดตกลงพื้น แล้วก็หยิบโยนขึ้นไปใหม่อีกหลายรอบ จนพอใจ
จนกระทั่งไปถึงบริเวณน้ำตกก็ให้บังเกิดภาพประทับใจ
คือผมไม่เคยเห็นน้ำตกที่ไหนเป็นแบบน้ำตกชาติตระการมาก่อน
ปกติน้ำตกนี้มันจะต้องประกอบไปด้วยหินก้อนๆ
ซ้อนๆกันแล้วก็มีน้ำตกไหลผ่านลงมา
แต่ที่น้ำตกชาติตระการนี่จะเหมือนกับมีหินเป็นแผ่นแบบฝาผนังผืนเดียว
กางโอบเราไว้ด้วยทรงครึ่งวงกลม ตรงกลางจะมีน้ำตกโจนลงมาที่แ่อ่งขนาดใหญ่
แต่ในช่วงนี้น้ำตกก็แห้งสายไปตามฤดู จะเห็นก็เพียงแค่น้ำตกเป็นสายเล็กๆ
ไหลเอื่อยๆลงมายังแอ่งด้านล่าง แต่ก็แน่นอนครับ
จินตนาการกลางฤดูร้อนของผม มองเห็นความสวยงามและรับรู้ได้
ถึงความยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ตรงหน้าแล้วที่ท่องเที่ยวที่ใหม่
ก็ถูกจดบันทึงลงในสมองของผมเตรียมไว้คราวหน้า





ผมเดินเรื่อยเปื่อยเก็บภาพไปตามทางเดินของน้ำตก
น้องชายสองคนกับหลานน้อยอายุงยังไม่ขวบดีก็ลงไปลอยคออยู่ในแอ่งของน้ำตก
เสียแล้ว สามคนพ่อลุงลาน ดำผุดดำว่ายอยู่สักพัก เจ้าหน้าที่อุทยานก็มาเป่านกหวีด
ส่งสัญญานให้ขึ้นจากน้ำ ด้วยเวลาล่วงเข้าหกโมง เจ้าหน้าทีเขาเกรงว่าจะมีอันตราย
จึงอนุญาติให้เล่นน้ำได้ไม่เกินหกโมงเย็น กิจกรรมเล่นน้ำตกหมดลงแค่นั้น
แต่ผู้ใดสนใจจะนั่งชมวิวทิวทัศน์ก็ยังสามารถทำได้





ราวๆสามทุ่มคณะสูงวัยเรื่มทะยอยเข้านอนตามตารางเวลา วัยรุ่นก็สรวญเส
เฮฮาอยู่กันที่ระเบียงที่พัก กลุ่มชายวัยกลางคนและต้นคนหกคนก็มาจับกลุ่ม
นั่งสนทนาการเมืองหลบร้อน ที่บ้านพักอีกหลังที่จองไว้ อากาศตอนนั้น
เป็นที่น่าแปลกคือมีลมเย็นๆ พัดมาปะทะพอให้ขนลุกได้ คนที่ขี้ร้อน
ถอดเสื้อนั่งคุยก็เรื่มจะออกอาการดีใจที่อากาศเริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง ในช่วงหัวค่ำ
พอราวประมาณเที่ยงคืน บางคนเช่นผมนี่เริ่มหาเสื้อมาใส่ กันๆลมเย็นเสียดผิว
แล้ว พอสักประมาณตีหนึ่ง วงเหล้าและวงสนนทนาหยุดลงอันเป็นต้องเข้าอู่นอน
อากาศกลางหน้าร้อนตอนนั้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ หนาวครับ
ไม่ได้หนาวขนาดทนไม่ไหว แต่หนาวขนาดที่เรียกว่า ผมตื่นมาตอนเช้า
เห็นเพื่อนร่วมห้อง ห่มผ้าทุกคน เออ แปลกไหมเล่าครับ กลางหน้าร้อนตับแตก
ยังมีหนาวให้ห่มผ้า





เช้าวันนั้นไม่มีกิจกรรมใดๆมากมาย ทุกคนก็ต่างเก็บข้าวของ เตรียมตัวเดินทาง
กลับมายังพิษณุโลก เพื่อที่จะเตรียมตัวไปงานแต่งงานของน้องสาวในวันรุ่งขึ้น







เช้าวันถัดมา เจ็ดโมงกว่าๆผมก็ไปยืนที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมเพื่อเข้าร่วมพิธี
แต่งงานของน้องสาวแล้ว จะว่าไปผมก็มีญาติเยอะมากทีเดียวเชียวครับ แต่ก็เป็น
เรื่องแปลกที่ว่า หากนับกันทางญาติฝ่ายแม่ ผมจะเป็นหลานลำดับที่สิบ จากสิบสี่คน
แต่ถ้านับจาทางฝ่ายพ่อผมจะเป็นหลานลำดับที่ สี่ จากสิบหกคน ของทางฝ่ายพ่อ
เรียกว่าถ้าอยู่ทางแม่ผมจะมีพี่มากกว่ามีน้อง ถ้าอยู่ทางพ่อก็จะมีน้องมากกว่ามีพี่
สมัยเด็กๆผมมีพี่สาวคนหนึ่งเกิดห่างกันสี่เดือน เรียกว่าเกิดมาไล่ๆกัน ที่บ้านยังมีรูป
อยู่อีตอนนอนคู่กัน โกนผมไฟก็โกนพร้อมกัน เลี้ยงก็เลี้ยงมาโดยยายเหมือนกัน
แต่พอโตๆ ก็แยกย้ายกันไป ปัจจุบันผมก็ยังรักและคิดถึงพี่สาวคนนี้อยุ่เสมอ
แต่ด้วยความที่ผมย้ายมาพักพิงอยู่ที่บ้านภรรยา และพี่สาวก็มีงานมากมาย
เลยไม่ค่อยได้เจอะเจอกัน แต่หากพี่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ขอบอกไว้เลยว่า
ผมยังดูรูปที่เราโกนผมไฟพร้อมกันอยูเมื่อวานนี้เลยนะ



ส่วนน้องสาวที่ผมมางานแต่งงานวันนี้ จะให้ไล่เลขคงจำไม่ได้ ว่าเป็นหลานลำดับ
ที่เท่าไหร่ของปู่ รู้แต่ว่าสายทางปู่นี่จะมีญาติลักษณะร่วมคือมีผิวค่อนข้างคล้ำ
หรือที่ชาวบ้านเรียก ดำ อยู่สี่คน ในสี่คนก็มีผมกับน้องคนนี้นี่แหละรวมอยู่ด้วย
ตอนเด็กๆ ผมมักจะไม่ค่อยสนิทสนมกับน้องเขาเท่าไหร่นัก คงเป็นเพราะหนึ่งน้อง
เขามีอายุห่างจากผมมาก และสองน้องเขาอาศัยอยู่ที่พิษณุโลก
มากกว่าที่จะอยู่ที่กรุงเทพ ที่สำคัญ น้องสาวไม่ค่อยได้มาบ้านปู่อีตอนที่ผม
ไปอยู่ที่บ้านปู่ตอนปิดเทอม ดังนั้นโอกาสที่จะเจอกันจึงน้อยครั้ง
ผมจึงรับรู้แต่ว่า ผมมีญาติตัวดำๆที่เป็นผู้หญิงเหมือนกันอยู่อีกคนหนึ่ง
ในเมื่อนานๆทีจะเจอกันที ความทรงจำของผมมันจึงมีภาพของน้อง
แค่สองสามภาพ จำได้ว่ามีภาพหนึ่งผูกโบว์สีฟ้าวิ่งถลาไปมาอยู่ใต้ถุนบ้านปู่
อีกภาพหนึ่งก็เป็นภาพน้องใส่ชุดมัธยมปลาย เดินแอบๆอยู่หลังอา แม่ของเขา
มาสวัสดีผม ถัดจากนั้นก็เป็นอีตอนที่เป็นนิสิต ใส่ชุดนักศึกษามาเจอกันที่กรุงเทพ
พอมาวันนี้ น้องก็เข้าพิธีแต่งงานเสียแล้ว เรียกว่าเห็นกันประเดี๋ยวประด๋าว เวลา
ก็พาให้เราแก่ลง ส่วนน้องก็เป็นสาวขึ้น แต่งานแต่งการมีครอบครัวไป




วันนั้นผมรับหน้าที่กั้นประตู หน้าที่นี้ผมชอบมาก เพราะสายฝั่งหลานบ้านปู่้นี่
ตามรูปการณ์แล้ว เห็นทีจะได้กันประตูนี้ประตูเดียวแล้วคงไม่มีโอกาสอีก (ฮา)
วันนั้นเมื่อฝ่ายเจ้าบ่าวเดินมา ถึงประตูผมผมก็ถามขึ้นมาว่าท่านเจ้าบ่าวเอย
ท่านจะรักน้องผมไปนานแค่ไหน ท่านเจ้าบ่าวก็ตอบมาว่าตราบจนชีวิตจะหาไม่
แต่ไอ้ที่มันทำให้ผมมีลมมาจุกที่คอหอยคือและรื้นๆที่หัวตาคือเขาบอกว่า
เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ด้วย เออ มันทำให้ผมนึกถึงตัวเองขึ้นมาทีเดียวเชียวนะ
ว่าผมก็ยังรักษาสัญญานั้นอยู่เสมอ พวงมะลิชายขันหมากที่ยกมาโดยเจ้าบ่าว
ดอกนั้น มันก็ทำให้นึกถึงพวงมะลิเหี่ยวๆ ที่แขวนจนเป็นฝุ่นอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านพวงนั้น
ที่คล้องคอโดยเจ้าสาวของผมและผมเป็นคนคล้องคอให้เธอ ทุกวันนี้มันก็ยัง
แขวนอยู่ที่เดิม ราวประหนึ่งว่าคำสัญญาที่ให้ไว้ มันจะไม่หายไปไหน จนกว่าฝ่าย
ใดฝ่ายหนึ่ง จะโยนมันทิ้งลงไป หรือไม่ก็สลายไปตามเวลาแห่งชีวิตเอง


สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทั้งคู่รักกันนานๆ มีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง หนักนิด เบาหน่อย
อภัยให้กันไว้ นึกถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราที่รักกันจนวันสุดท้ายแ่ห่งชีวิต
มาเยือน

มีความสุขในหน้าร้อนทุกคนครับ


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด