ความฝันของเราเอง



ผมฝันประหลาดมายี่สิบกว่าปีแล้วครับ...
เป็นความฝันที่วนๆเวียนๆอยู่เรื่องเดิม
ฉากเดิม ตัวละครเดิม ระยะเวลาและสถานที่ก็เหมือนเดิม
คืนไหนฝันเรืองอะไรอยู่ มันมักจะเหมือนทีวี ตัดเข้าโฆษณา
ต้องมีภาพฝันเรื่องนี้แวะเข้ามานิดหนึ่งเสมอ
โชคดีหน่อยเดียวคือมันไม่ได้ถี่มากขนาดฝันซ้ำๆทุกวัน
แต่ก็มากถึงขนาดอย่าน้อยในหนึ่งเดือน ต้องมีครั้งหนึ่ง

ผมฝันไปว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง ปัญหาคือผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร ค่าที่ในฝันของผม ดูเหมือนผมจะยืน
อยู่ด้านหลังของเธอ ห่างราวๆสักห้าเมตรเจ็ดเมตร
ผู้หญิงคนที่ว่านี้ รุปร่างสันทัด ผิวขาว
เธอมีผมสีดำขลับ ยาวประมาณกลางหลัง
ใส่เสื้อสีขาว กระโปรงยาวสีดำ บริเวณที่เธอยืนอยู่
คือใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าของเธอมีน้ำตกสายหนึ่ง ไหลแรง
ลมพัดพาเอาละอองน้ำปลิวกระเซ็นไปทั่ว กระโปรงสีดำตัวนั้น
ไหวไปตามแรงลมอย่างช้าๆ มือข้างซ้ายของเธอแตะนิ่งอยู่ต้นไม้ต้นนั้น
ถ้าจะถามว่าอารมณ์ในฝันที่ผมรู้สึกได้ตอนนั้นเป็นอย่างไร
ตอบได้เลยครับว่ามันเศร้ามาก เศร้าราวกับว่าความเศร้า
ทั้งหมดทั้งมวลในโลก มาจมอยู่ที่ในภาพฝันนั้นๆในคราเดียว
และทุกๆครั้งที่ผมฝันถึงเหตุการณ์นี้ ตื่นเช้าขึ้นมาผมจะรู้สึก
จิตใจห่อเหี่ยว อมทุกข์ และรู้สึกแย่ไปตลอดวัน แต่ก็อย่างที่บอก
มันไม่ได้เป็นการฝันซ้ำทุกวันๆ แค่เดือนละครั้งสองครั้งนี่ผมก็รู้สึก
แย่ได้มากทุกครั้งแล้ว

ที่เล่ามานี่นับว่าเป็นเหตุเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ระยะหลังๆ
ผมชอบไปเที่ยวน้ำตกมากกว่าที่จะเลือกไปทะเล
ซึ่งแต่ไหนแต่ไรผมเป็นคนชอบเที่ยวทะเลมากๆถึงขนาดที่เรียกว่า
เคยจะไปหัดเรียนดำน้ำให้เป็นล่ำเป็นสันกันขึ้นมาเลยทีเดียว แต่หลังจาก
ที่ผมเริ่มเอะใจว่า นิมิตที่ได้เห็นบ่อยๆยามค่ำคืนนอนนั้น มันต้อง
มีอะไรแฝงอยู่ในภาพที่เห็นเป็นแน่แท้ ความชอบหรือรสนิยม
ทางการท่องเที่ยวทางน้ำเค็มของผมมันจึงค่อยๆลดลง
และไปเพิ่มความสุขและความชอบในการได้นอนแช่น้ำจืดอย่างชนิดที่
เป็นหน้ามือกับหลังมือ ที่สำคัญและน่าประหลาดใจกว่านั้น
เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ผมถ่ายภาพน้ำตกแห่งหนึ่งไว้ได้ โดยไม่ได้ตั้งใจ
และหลังจากกลับจากทริปน้ำตกครั้งนั้น ผมมานั่งดูภาพถ่ายเรื่อยๆ
ตามปกติ แล้วก็ให้ไปสะดุดกับภาพหนึ่งที่ผมเป็นคนถ่ายไว้เอง
เป็นภาพต้นไม้ต้นนั้นในฝัน ต้นที่ตระหง่านอยู่หน้าน้ำตกในฝัน
ที่ผมเห็นมาเป็นสิบๆร้อยๆครั้ง ที่ดูเหมือนจะบังเอิญไปกว่านั้น
คือ ต้นไม้ต้นนั้นอยู่ที่ด้านหน้าของน้ำตก ซึ่งเป็นภาพเดียวกับ
ที่ผมเห็นในฝันเป๊ะ เพียงแต่ตอนที่ผมฝัน น้ำตกในฝันนั้นมีสายน้ำ
ไหลแรงโจนลงสู่เบื้องล่าง แต่ที่น้ำตกที่ผมถ่ายรูปมานั้น มีแค่น้ำ
ไหลเอื่อยๆตามปกติของน้ำตกหน้าแล้ง และต่างกันอีกอย่างหนึ่ง
ก็คือ ไม่มีเธอคนนั้นอยู่ใต้ต้นไม้...
แต่ผมก็แอบดีใจนะครับ อย่างน้อยผมก็รู้แล้วว่า ภาพฝันซ้ำ
ซาก ที่ผมหลับตาแล้วจะต้องพบเห็นมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี้นั้น
มันมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ยังอาจแตกต่างกันที่จุดเวลา
ซึ่งแน่นอน ยามหน้าฝนมาเยือน น้ำตกแห่งนั้นมีสายน้ำ
ผมต้องกลับไปที่น้ำตกแห่งนั้นแน่ๆ เพื่อจะไปดูให้เห็นกับตาว่า
เธอที่ผมเห็นในฝันอันเศร้าสร้อยนั้นต้องการสื่อสาร
อะไรกับผม หรือเพียงแค่เป็นจินตนาการเละเทอะของผมเอง
ที่ไม่มีความจริงหรือหาสาระอะไรไม่ได้
ครับ แล้วเรามาพิสูจน์กัน เพราะอย่างน้อย ผมก็รู้แล้วว่า
ผมต้องไปที่ไหน...


เล่ามาเสียยืดยาวแค่จะบอกว่า ผมไปเกาะช้างมาครับ
ก็อย่างที่เล่าเกริ่นไว้ สมัยก่อนผมเป็นคนชอบเที่ยวทะเลมากๆ
ไปมาแล้วแทบทุกเกาะในทะเลประเทศไทย ไกลและลำบาก
ชนิดที่แทบเอาชีวิตน้อยๆไปทิ้งก็เคย อย่างตะรุเตานั่นก็ครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้นเป็นครั้งที่มีความทรงจำที่สนุกสนานและอันตรายมาก
ที่สุดในการเที่ยวทะเลของผม ผิดตั้งแต่คิดไปทะเลในหน้ามรสุม
แล้ว,ทั้งเกาะตะรุเตามีคนนักท่องเที่ยวสี่คนคือกลุ่มผมเอง
เพื่อนจมน้ำหายไปต่อหน้า ดีที่ยังคว้าเอาไว้ทัน,เพื่อนโดด
หน้าผาลงทะเลหายไปขอความช่วยเหลือ เนื่องจากกลุ่มพวกเรา
ติดค้างอยู่ที่หน้าผาเพราะน้ำขึ้นไปไหนไม่ได้ และมันก็ลากสังขาร
ตัวเองกลับมาตอนสองทุ่มในสภาพโชกเลือด ท้ายสุดของทริป
นี้ก็คือ นั่งเรือหนีพายุออกจาเกาะด้วยเรือประมงชายฝั่ง
แล้วโดนคลื่นโยนไปมาๆ ราวสามสี่ชั่วโมง ท่ามกลางพายุ
แต่แล้วก็รอดกลับมาได้ราวปาฎิหาร นี่นับเป็นทริปที่ประทับใจ
ผมมากที่สุดนับตั้งแต่ไปทะเลมา



เกาะช้างก็เป็นเกาะหนึ่งที่ผมมีความหลังอันสนุกสนานทิ้งเอาไว้
ในยามอดีต จำได้ว่าไปครั้งแรกเมื่อราวๆปี 2535 สมัยนั้นยังไม่มี
เรือเฟอรี่ข้ามเกาะ จะข้ามไปเกาะช้าง ต้องนั่งเรือข้ามฟาก
ขนาดกลางตามปกติเท่านั้นจึงจะข้ามไปได้ และที่จำได้แม่นๆ
คือที่พัก รีสอร์ต บังกะโลนี่มีน้อยจนนับหลังได้
บางหาดเช่นหาดคลองพร้า่ว มีรีสอร์ตเพียงแห่งเดียว ซึ่งเป็น
รีสอร์ตชนิดหรู ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางหมู่มะพร้าว น้ำทะเล
หน้าหาดนั้นใสจนมองเห็นท้องทรายสีขาวทอดยาวไปไกลสุดตา
และที่น่าประทับใจก็คือ ผมไม่ได้นอนที่รีสอร์ตแห่งนั้น
แต่ไปนอนที่บังกะโลซอมซ่อ ที่ราคาค่าทีนอนพอเหมาะพอสม
กับราคานักศึกษา และด้วยความที่เราไม่ได้้จองไว้ล่วงหน้า
บังกะโลจึงเต็ม แต่เจ้าของท่านก็ใจดี เห็นว่าเป็นนักศึกษา
ไม่มีที่พัก คืนแรกท่านจึงจัดหาที่นอนให้โดยไม่คิดสตางค์
แต่เป็นที่นอนในห้องเก็บของของบังกะโล และพอวันถัดมา
มีคนเช็คเอาท์ ผมจึงได้ย้ายออกจากห้องเก็บของ
ไปนอนในห้องพักตามปกติ นับว่าเป็นทริปที่น่าจดจำอย่างยิ่ง
อีกทริปหนึ่ง...

ถัดมาอีกสิบกว่าปี ผมก็ได้มีโอกาสไปเกาะช้างอีกหน
คราวนี้ดูเหมือนเวลาที่เกาะช้างหมุนไปเร็วมากจนน่าใจหาย
สัมผัสแรกที่ได้รับจากริมฝั่งเรือเฟอรี่ที่ต้องรอคอย
เพื่อที่จะนำรถที่เราขับมาขึ้นไปบนเรือก็คือ รถติด มีคิวและต้องรอ
แต่ก็นะ ผมว่าไอ้ความเจริญนี่มันก็มีข้อดีข้อเสียเป็นเส้นขนาน
กันมาเสมอๆอยู่แล้วตามปกติ จะว่าไป จากฝั่งตราด ผมก็แทบจะไม่ต้อง
ลงจากรถเลยจนกระทั่งเข้าไปถึงตัวรีสอร์ตที่เราไปพักในตัวเกาะ
สัมผัสที่สองหลังจากที่เท้าผมเหยียบย่างลงบนเกาะช้างแล้วก็คือ
หาดส่วนตัว พระเจ้า มันมีจริง
หาดส่วนตัวนี่ผมไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่จริงในโลกนี้ เพราะ
ความจริงทะเลในโลกนี้ หาดทรายในโลกนี้ ใครคนใดคนหนึ่งไม่ควร
ได้มันเป็นเจ้าของ แต่เราทุกต่างหากที่ต้องเป็นเจ้าของร่วมกัน
และใช้มันร่วมกันอย่างมีความสุข แต่สิ่งที่ผมพบในหาดคลองพร้าว
และทุกๆที่ที่ผมผ่านไปบนเกาะช้าง ทุกหาด มีเจ้าของ
และผมหาทางลงหาดไปเล่นน้ำไม่ได้
หากไม่ใช่ลูกค้าของโรงแรมที่อยู่บนหาดนั้นๆ ดู ดู ดูมันทำกัน




ที่พักที่ผมเลือกที่จะไปค้างอ้างแรมบนเกาะช้างแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณ
หาดทรายขาวชื่อของรีสอร์ตก็เป็นชื่อเดียวกันกับหาดนี้ชื่อว่าหาดทรายขาว
รีสอร์ต และก็แน่นอน เป็นหาดส่วนตัว แต่ถ้าตัดเรื่องความเป็นคนดี
หรือนักอนุรักษ์ธรรมชาติที่ผมกระแดะๆอยากจะมีเสียนิดหน่อย
ออกแล้วโยนทิ้งไปนั้น ผมว่าหาดนี้เป็นหาดที่น่าพักอาศัยและเล่นน้ำ
เป็นที่สุด และยังคงความสวยมากกว่าหาดอื่น เพราะยังคงความสงบ
เงียบและเป็นส่วนตัวไว้ได้ดี
เพราะหาดอื่นๆเท่าที่ผมไปตระเวนดูๆมาแล้วนั้น มันไม่ได้ต่างอะไรเลย
กับบรรยากาศแถวๆพัทยา บางแสน ชะอำ หรือเกาะเสม็ด
ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ผับ บาร์ฝรั่ง และสาวบริการที่มีอยู่เกลื่อนไป
นับว่าผมคิดไม่ผิดที่เลือกที่จะนอนที่นี่




วันแรกที่ผมไปถึง หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เรา(สามคน) ก็ตัดสินใจขับรถไปรอบๆเกาะเพื่อชมทัศนียภาพฝั่ง
ตะวันตกของเกาะช้าง ซึ่งรีสอร์ตและความเจริญทั้งหมด
มาปักหลักกันอยู่ที่ฝั่งนี้โดยที่ทิ้งให้ฝั่งตะวันออกเป็นเสมือน
ดินแดงร้างความเจริญทั้งๆที่อยู่บนเกาะเดียวกัน
จุดแรกที่ไปแวะเที่ยวก็คือจุดชมวิวบนแหลมใบลาน
ติดหาดไก่แบ้ จากบนยี้เราจะสามารถมองเห็นชายฝั่ง
ตะวันออกของเกาะช้างได้หลายหาด ผมเดินถ่ายรูปไปๆมาๆ
อยู่หลายนาน ก็ไปพบป้ายป้ายหนึ่งความว่า เกาะช้าง
คือเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฝั่งอ่าวไทย และด้วยความรู้เท่าที่
มีและประมวลผลออกมาได้ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือเกาะ
ภูเก็ตด้วยขนาด 543 ตารางกิโลเมตร
และเกาะช้างคือเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองมีพื้นที่ประมาณ
429 ตารางกิโลเมตร และที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทย
ก็คือเกาะสมุยพื้นที่ประมาณ 252 ตารางกิโลเมตร





นักท่องเที่ยวเกาหลี เดินตัดหน้ากล้อง

จากแหลมใบลาน พวกเราก็มุ่งเข้าสู่ที่พักพร้อมด้วยเสบียงอาหาร
ซึ่งหลักจะเป็นขนมถุงจากร้านสะดวกซื้อสามสี่ถุงใหญ่ เพราะหาก
เกิดความหิวในยามค่ำคืนมาถึง การเดินออกไปยังที่ชุมนุมชน จากที่พัก
ของเรานั้น ผมว่าผมไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า ดังนั้น กันไว้ดีกว่าแก้
แล้วเย็นนั้นผมก็ลงน้ำทะเลเกาะช้างด้วยความสำราญบานใจ
และยังได้นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินไปจนเย็นย่ำ ช่างเป็นความ
สุขของชาวกลางคนเสียนี่กระไร





คืนนั้นผมเข้านอนด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางและเพลียจากการ
ดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเล เป็นนานสองนาน แต่ใช่ว่าคืนนั้นจะผ่านไปด้วยดี
ผมต้องสะดุ้งตื่นอยู่บ่อยเนื่องด้วยทั้งผมและผู้ร่วมชายคา
ต้องคอยมาตกใจกับแมลงบางอย่าง วึ่งไต่ไปมาบริเวณทั้งในที่ลับและ
ที่แจ้ง หมายถึงบริเวณที่ห่มผ้าและไม่มีผ้าห่มครับ แมลงที่ว่า
เป็นชนิดสีดำๆ ลักษณะคล้ายตัวต่อแตน และชอบมาเล่นไฟตามบ้าน
ไอ้ครั้งจะตบจะตีจะบี้ให้ตายด้วยมือ ก็กลัวมันจะต่อยให้ได้เจ็บ
จึงได้แค่ปัดๆให้ร่วงไปพ้นๆ และนั่นก็ทำให้เราต้องเจอกับมันทั้งคืน
ทั้งสองวัน เวรกรรมมีจริง

เช้าวันถัดมาพวกเราตัดสินใจไม่กินอาหารเช้าของโรงแรม เนื่องด้วย
รู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าจะแปลกสักเท่าไหร่กับอาหารเดิมๆประเภท
ใข่ดาวหมูแฮม หรือที่เรียกว่า อะเม๊ริกัน เบร๊คฟาส(ออกสำเนียงนิดหน่อย
พอกล้อมแกล้ม)เราจึงออกรถวนเข้าไปในแถวย่านกลางเกาะ
เพื่อเสาะแสวงหาของอร่อยๆหรือของพื้นเมือง หรือไอ้ที่ชาว
เกาะช้างเขากินๆกันดู

เช้านั้นหลังจากขับรถวนไปมาอยู่พักใหญ่ เรายอมจำนนกับ
ข้าวเลือดหมูสองถ้วย และ อะเม๊ริกัน เบร๊คฟาส(อย่าลืมสำเนียง)
ค่าที่ว่า ชาวเกาะช้างฝั่งตะวันตกส่วนใหญ่
ยังหลับไหลอยู่กันเกือบทั้งหมด
ซึ่งในระหว่างที่นั่งกินๆกันไป เราก็อนุมานได้ว่าชนชาวเกาะช้าง
ฝั่งตะวันตกนั้น ส่วนใหญ่ลงละทิ้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบปกติไปสู่
วิถีชิวิตแบบคนบริการกันหมดแล้ว ดังนั้น ช่วงเช้ามากๆแบบนี้
จึงไม่มีตลาดนัด ตลาดเช้าชาวบ้าน ให้เราเห็นตลอดแนวฝั่ง
ตะวันตกของเกาะ จะมีก็แต่เพียงร้านรวงเล็กๆ ขายของทั่วๆไป
และพระสงฆ์ที่เดินบิณฑบาตรอยู่ริมถนนท่ามกลางเมืองที่เงียบ
สงบและยังไม่ตื่นจากความหลับไหล

เมื่อท้องอิ่มเราก็ตกลงกันว่าเราควรจะไปดูอีกฝั่งหนึ่งของเกาะจะดีกว่า
เพราะอย่างไรเราก็มีเวลาเหลืออยู่อีกครึ่งค่อนวัน
และไม่ได้มีโปรแกรมว่าจะไปทำอะไรที่ไหน





ด้วยคงเป็นเพราะว่า ฝั่งตะวันออกของเกาะช้างหาดทั้งหมด
เป็นหาดที่ไม่สามารถลงไปเล่นน้ำได้เนื่องจากหาดที่น่าจะเป็นหาดทราย
กลับกลายเป็นหาดหิน นักท่องเที่ยวจึงนิยมที่จะไปพัก
ฝั่งที่เป็นหาดทรายมากกว่าดังนั้น ความเจริญจึงถูกตัดขาดไปจากฝั่งนี้
แต่ข้อดีก็คือ หาดทั้งหมดสวยและสงบเงียบมาก
จนอดไม่ได้ที่จะเราจะหยุดเก็บภาพและนั่งซึมซับบรรยากาศกันพักใหญ่
ก่อนที่จะออกเดินทางต่อไป





เมื่อเราวิ่งเลาะเลียบทะเลมาได้สักพัก เราก็มาถึง จุดชมวิวอีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งจะอยู่ไปทางแถวๆ หมู่บ้านสลักคอก ถนนเส้นนี้มีปลายทาง
ไปยังเขตใต้สุดของเกาะช้างที่เรียกว่า อนุสรณ์สถานยุธนาวีเกาะช้าง
หนทางทางค่อนข้างลำบากนิดหน่อย และบางช่วงก็มีดินถล่มและทางขาด
ในฝั่งขวาของถนน อีกทั้งยังมีความชันค่อนข้างมาก
เราจึงหยุดเดินทางต่อแค่ที่จุดชมวิวแห่งนี้ เพราะเจ้าหน้าที่ประจำ
อุทยานบอกว่าช่วงนี้ถนนไปยังอนุสรณ์สถานฯไม่สู้จะดี
ความตั้งใจจะไปสักการะอนุสรณ์สถานฯ จึงต้องล้มเลิกไป
จุดชมวิวที่เราไปยืนส่องๆ เก็บภาพแห่งนี้เรียกว่าจุดชมวิว
อ่าวสลักเพชร จากมุมนี้เราสามารถมองเห็นอ่าวสลักเพชร
และเกาะที่อยู่ถัดจากเกาะช้างไปอีกสองเกาะ
คือเกาะเหลายา และเกาะหวาย ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเกาะช้าง
ก็มักจะไม่พลาดที่จะไปดำน้ำดูปะการังและปลาสวยงามที่เกาะ
สองเกาะนี้เสมอแต่คราวที่เราไปมีฝนตกและมีคลื่นลม
เราจึงพลาดโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย





จากจุดชมวิวอ่าวสลักเพชร เรามุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง
ก็คือรับประทานอาหารกลางวันที่อ่าวสลักเพชร
ซึงมีพี่สาวคนหนึ่งบอกและสั่งนักหนาว่าต้องมากินข้าวที่นี่ให้ได้
อย่างน้อยหนึ่งมื้อ และอย่าลืมสั่งปลาหมึกแดดเดียวมาด้วย
ดังนั้นเราต้องทำตามที่พี่บอกไว้ให้จงได้เพื่อรักษาสัญญากัน
ระหว่างทางที่มุ่งหน้าจากจุดชมวิวอ่าวสลักเพชรไปยังอ่าวสลักเพชร
ก็ให้บังเอิญว่าผ่านท่าเรือแห่งหนึ่ง
ซึ่งชวนให้แวะเก็บภาพความประทับใจเป็นอย่างมากและเวลาเพิ่งจะ
เข้าสายๆไม่ถึงสิบเอ็ดโมงดี เราจึงแวะเก็บภาพกันที่
ท่าเรือสลักเพชรสักหน่อย เพื่อปล่อยให้เวลาสำหรับมื้อกลางวัน
ยาวนานออกไปอีกนิด






ท่าเรือสลักเพชรอยู่ก่อนที่จะสุดถนนฝั่งตะวันของเกาะช้าง
เป็นท่าที่ผมมองๆดูแล้วเก็บข้องมูลเอาเองได้ว่า
เป็นท่าเทียบเรือประมงน้ำลึกและท่าเรือขนส่งนักท่องเที่ยวไปยัง
เกาะแก่งต่างๆในเขตอุทยานแห่งชาติเกาะช้าง
เพราะในบริเวณท่าเรือมีรถตู้รับส่งนักท่องเที่ยวจอดรอ
อยู่เป็นหลายคัน อีกทั้งยังมีเรือประมงจอดเทียบท่าเตรียมตัวออก
ไปหาปลาอีกหลายลำ แถมตรงปลายท่าเรือ ยังดูเหมือนจะมี
ประภาคาร หรือหอสูงสังเกตการณ์อะไรบางอย่างสร้างอยู่
บริเวณนั้นด้วย



มื้อกลางวันที่สลักเพชร ซีฟูีด นั้น ถือว่าเป็นมื้อที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
สมกับคำแนะนำที่ได้รับมาจากพี่สาวคนหนึ่ง
ซึ่งพี่ได้มาอยู่โยงเป็นสาวตาฮิติ เอ้ย สาวเกาะช้างอยู่สามสี่วัน
และเพิ่งจะกลับไปเมื่อไม่เกินสิบวันก่อนหน้า
ที่น่าขำอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อวันที่เรามาถึงเกาะ
พี่จะคอยโทรมาแทบๆจะทุกหนึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น
เพื่อคอยถามว่าไปถึงร้านหรือยังๆ จนพวกเราลงความเห็นไปในทางเดียวกัน
ว่าพี่อาจแอบมามีหุ้นส่วนไว้ที่ร้านนี้ไม่มากก็น้อย
หรือไม่ก็ได้ค่าโฆษณาอาหารเป็นรายหัว
จากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปกินอาหารเป็นแน่แท้
ถึงได้สนับสนุนกันออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้





เสร็จจากมื้อสายๆ รวมกับมื้อเที่ยง ฝนก็ตกลงมาปรอยๆ พาให้อากาศร้อนๆ
รอบๆตัวเราชุ่มฉ่ำและเย็นลงได้บ้าง และบรรยากาศตอนนี้ก็
เป็นที่น่านอนอย่างยิ่ง เราจึงลงความเห็นกันว่า ควรจะรอให้ฝนซาเม็ด
และกลับบ้านไปนอนสักงีบ เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตกดินอีกสักวัน
ประมาณบ่ายสี่โมงของวันที่สอง เราก็ตื่นมาแบบ งัวเงียๆ
แล้วเราก็ลงไปเล่นน้ำทะเลกันอีกด้วยความสนุกสนาน
และที่แน่ๆก็คือ ผมไม่ลืมทีจะคว้ากล้อง
ไปถ่ายภาพพระอาทิตย์ยามลาลับขอบฟ้า





ค่ำวันนั้นพวกเราตัดสินใจที่จะกินข้าวภายในรีสอร์ต เนื่องจากความที่เราก็มอง
ไม่เห็นว่าจะมีอะไรแปลกใหม่ให้เสาะแสวงกินภายในเกาะช้างนี้ มื้อค่ำวันนี้
จึงเป็นอาหารซีฟู๊ดมื้อใหญ่อีกมื้อหนึ่ง ที่รสชาดอร่อยพอไปวัดไปวาได้
ในราคาที่สมเหตุสมผลโดยที่ไม่ต้องขับรถออกไปหาอะไรยากๆกินให้เหนื่อย
และหลังจากอิ่มท้อง เราก็เริ่มวางแผนใหม่ สำหรับวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันเดินทาง
กลับสู่กรุงเทพมหานคร





วันสุดท้ายของทริปนี้ พวกเราออกเดินทางจากเกาะช้างกันตั้งแต่เช้า
เพราะแผนที่วางไว้ก็คือการออกเดินทางไปหาสวนผลไม้
ที่เราสามารเข้าไปเก็บผลกินได้ที่ใต้ต้น
หรือจะเรียกว่าสดจากต้นก็เป็นได้ แต่ปัญหาก็คือ
เราไม่มีข้อมูลเกียวกับสวนผลไม้ที่ว่านี้เลย จะมีก็แต่คำบอกต่อๆกันมาว่ามี
แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าที่ไหน ดังนัั้นเราจึงจำเป็นต้องเผื่อๆเวลาไว้สักหน่อย
สำหรับการค้นหาสวนผลไม้ที่อยากไป






เรือเที่ยวเช้า(มาก) ที่ผมโดยสารไปนั้น ไม่แน่ขนัดหรือยัดเต็มเหมือน
อีตอนขามา คงเป็นเพราะยังเช้าอยู่ เราก็เลยไม่เสียเวลารอเรือข้ามฟาก
นานเหมือนตอนขาข้ามมา เรียกว่าขับรถมาถึงท่าเรือก็ขับรถไปจอด
บนเรือได้เลย ไม่นาน เรือก็ถอยห่างออกจากฝั่งเกาะช้าง
มุ่งหน้าไปสู่เขตแหลมงอบจุดที่เรือจะเข้าเทียบท่า
ในระหว่างที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล ผมก็คิดไปว่า
ผมจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนเกาะช้างอีกหรือไม่
หรือผมจะเก็บเอาเกาะช้างที่ยังพอจำได้ไว้ในความทรงจำ
โดยที่ผมไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีกและเมื่อวันเวลาล่วงเลย ผมก็อาจจะ
ได้ฝันถึงที่แห่งหนึ่งว่า ที่แห่งนั้นมีชายหาด มีต้นไม้ ไม่มีผู้คน
สงบเงียบและสวยงาม และแน่นอน ไม่ว่าเกาะช้างในอนาคต
จะเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดไหน ในฝันของผม ก็คงจะเป็นภาพที่
คงเดิมเสมอและมีความสุขเมื่่อได้ฝันเห็นตลอดไป...


.............................................................

แถมท้าย
ไม่มีคำบรรยาย
เลือกชมได้ตามสะดวก








.........................................................

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด