สวรรค์ชั้นนิมมานนรดีที่ทีลอซู



"..โอ๊ย...ใครที่ย้ายไปอุ้มผางนี่แกเอ๊ย เค้าว่าเหมือนไปติดคุก
หนทางนี่แสนลำบาก น้ำตาไหลเลยนะ ใครย้ายไปแถวนั้น
ถ้าไม่โดนแกล้งก็แปลว่าทำงานแย่มาก ไม่ได้กันดารอย่างเดียวนะแก
พ่อจะบอก มันทุรกันดารเลยละ..."

นี่เป็นบทสนทนาระหว่างผมกับพ่อ ก่อนวันที่ผมจะเดินทางไปเยือน
อุ้มผางสักอาทิตย์สองอาทิตย์ ช่วงนั้นและก่อนหน้านั้น
เมื่อคราวโทรศัพท์ไปหาพ่อที่บ้านแล้วพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่
พ่อผมก็จะวนเวียนพูดประโยคนี้อยู่เสมอๆว่า
"ไปอุ้มผาง มันลำบากเหมือนไปติดคุก"
เคราะห์หามยามดี พ่อก็ส่งตัวแทนทัวร์เกษียน ซึ่งพ่อไม่สามารถ
เดินทางไปได้เนื่องด้วยกันได้สืบด้วยความเจ็บป่วยทางกาย
ให้ผมไปติดคุกคนเดียว...ดีใจจริง

เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นที่ว่า คราวหนึ่ง ในยามที่พ่อออกทัวร์
เกษียนกับญาติทางฝั่งฝ่ายใน เรียกให้มันดูยากๆไปอย่างนั้น
จริงๆก็คือพี่น้องของพ่อนั่นแหละครับ มีทั้งลุงป้าน้าอา
ญาติสนิทมิตรเชื้อวงศ์เดียวกันทั้งหมด พ่อแกเปรยๆขึ้นมา
ในวงกินข้าวเย็นว่า อยากไปตาก แล้วอาผู้หญิงท่านหนึ่งก็ขันอาสา
จัดทัวร์ขึ้นมาหนึ่งทัวร์ว่าเออนะ จะพาพี่ชายไปตากให้จงได้
แล้วจะพาไปทีลอซู ใครจะไปให้นับหัวไว้ก่อน

ที่ลอซู...ชื่อนี้พาให้ผมไม่ลังเลที่จะยกมือให้อาท่านนับรวมไป
อีกหนึ่งมือทันทีที่ได้ยินชื่อสถานที่ ที่จะไป แถมอีตอนยกมือนั่น
มีพวกมือตึง คือพวกอายุต่ำกว่าสี่สิบยกรวมกันไปอีกสองมือ
รวมอายุต่ำกว่าสี่สิบนี่สามมือ แน่นอน อุ่นใจได้ว่ายังมีเพื่อนไป
คุยเรื่องเดียวกันได้อีกสองคน ส่วนมือที่เหลือที่ยก ดูจะเป็นมือ
ที่ไม่ตึงเท่าไหร่ นับได้อีกหกเจ็ดมือ ที่แน่ๆ มือที่ยกหกเจ็ดมือนั้น
อายุอานามของมือก็ไม่มีมือไหนจะต่ำกว่าหกสิบสักมือ
แต่ก็เอาละหว่า ที่ลอซูเชียวนะ จำได้ว่าคืนนั้นผมนอนฝันไปถึง
กินรีแลนางไม้ ที่โผถลาบินขึ้นฟ้าแล้วผินหน้า
มากวักมือเรียกผมให้ตามไปที่น้ำตกทีลอซู
อันสวยดุจดั่งสรวงสวรรค์ ชั้นนิมมานนรดี ที่เห็นบ่อยๆ
ในโฆษณาเหล้าตอนมืดๆจนชินตา

เชื่อไหมครับ ไอ้เวลาที่เราจะมานั่งรออะไรนานๆนี่
มันเหมือนเวลามันจะแกล้งเดินช้าไปเสียเฉยๆ
แถมมันมักจะมีเงื่อนไขอะไรๆมาทำให้เวลาที่เรารอคอย
มันเลื่อนไปจนสุดท้าย ก็เหมือนจะทดสอบว่าถ้ารอไม่ไหว
ก็เลิกรอไป จะไปทำอะไรก็ไป เลิกรอได้แล้ว
เงื่อนไขแรกที่ผมโดนเวลาทดสอบก็คือ พ่อและแม่ของผม
ยกเลิกการเดินทางไปทัวร์เกษียนทริปนี้ ด้วยเหตุต้องเข้า
โรงหมอไปผ่าตัดอีรุงตุงนังนิดหน่อย
เลยพาให้ต้องงดการเดินทางครั้งนี้ไป แต่ก็นะมันทำให้
ความรู้สึกอยากไปทีลอซูของผมลดลงแค่เพียงครึ่งหนึ่ง
เท่านั้นมันยังเหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่ง ฉะนั้นผมก็ตั้งใจอยู่ดีว่า
กูต้องไปแอบดูกินรีเล่นน้ำให้ได้ ก็กูเป็นพรานบุญนี่นา
ชะรอยได้ที จับมาขายพระสุธนสักตัวสองตัวยังคุ้มอยู่

พอใกล้ๆวันจะไปสักเดือนหนึ่ง เงื่อนไขที่สองก็เขยิบเข้ามา
ทดสอบความอยากไปของผมอีกครั้ง คราวนี้เป็นการทดสอบ
ใหญ่เรียกว่าถ้าไม่ผ่านก็เป็นอันว่าอดไปกันเลยทีเดียว
เงื่อนไขคราวนี้มีว่า ไอ้มือตึงๆอีกสองมือที่ยกสนับสนุนกัน
ว่าจะไปเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาคราวน้น ยกเลิก ไปไม่ได้
มือหนึ่งติดงาน งานด่วนเข้ามาเร่ง เลยต้องยกเลิกไป
ส่วนอีกมือหนึ่งนี่ก็เข้าทำนองเดียวกัน คือติดงาน
เด็กลาออก ต้องไปเฝ้าโต๊ะทำงานกลัวรายได้จะหดหาย
เลยก็ต้องของดไปอีกคนโดยปริยาย
เอาแล้วสิ เหลือมือตึงๆอย่างผมคนเดียวแล้วเอาไงดี
คืนนั้นผมกำลังจะมุดหัวเข้านอนตามปกติ
พลันหูไปสะดุดกับโฆษณาไอ้เหล้าเจ้าเดิม แต่คราวนี้เปลี่ยน
เอากินรีออกไป ส่งเอานางไม้สีขาว แอร๊ย...เขียว มาส่งยิ้ม
ให้ผมแทน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก ก็ยังคงมุดๆหัวเข้านอน
แถมก่อนนอนก็กลุ้มใจไปอีก ว่างานนี้นะ
กุเนี่ยอายุน้อยที่สุดในคณะทัวร์เลยนะ แล้วมันจะไปสนุกอะไร
จะคุยกับใคร จะเล่นกับใคร เอ้อ กลุ้ม....แล้วผมก็ผลอยหลับไป
คืนนั้น น้องนางไม้ขันทอง ก็แอบมากระซิบข้างหูผมว่า
ไปเถิดนะ...ไปหาน้องนาง แล้วน้องเจ้าจะมอบวิญญาณแห่ง
ความเป็นหนุ่มสาวคืนให้ ต่ออายุแก่ๆของผมไปอีกสักสิบปี...
จำได้ว่าคืนนั้นผมนอนยิ้มจนเช้ามาปวดกรามไปสองวัน

ก่อนวันเดินทางก็มีบททดสอบใหม่อีกเป็นบทสุดท้าย
คณะเดินทางถูกเปลี่ยนตัวใหม่หมด
จากพี่ป้าน้าอาลุงฝ่ายใน กลายเป็นป้าๆๆๆๆสักสิบป้าเห็นจะได้
มาเป็นเพื่อนร่วมทางแทน ก็เหตุเดิมคงไม่ต้องอธิบายเพิ่ม
ติดงานติดการกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่คราวนี้ไม่ต้องรอ
ให้น้องนางในวรรณคดีที่ไหนมากระซิบกระซาบ ผมตัดสินใจ
เปรี้ยงเดียวและยืนยันว่า "ไปครับ" กับอาผู้หญิง(นึกว่ามีแต่ป้า มีอาด้วย)
ในโทรศัพท์ก่อนวันจะไปสักสามวัน เพื่อเป็นการยืนยัน แต่ก็นึกในใจว่า
งานนี้น้ำลายบูดคาปากแน่ๆ

เช้าวันแรกของการเดินทาง จากบ้านปู่ผมที่พิษณุโลก
รถตู้มาจอดรับพร้อมสมาชิกวัยเกษียนที่เป็นป้าเจ็ดท่าน
เป็นอาสองท่านยังดี มีพี่หนึ่งท่านมาให้เห็นว่าเออน่าจะคุยได้หนึ่งท่าน
แถมคนขับรถที่ดูยังหนุ่มๆอีกหนึ่งชีวิต เช้านั้นหลังจากขึ้นรถตู้
ผมก็จองที่นั่งหลังหลับรวดเดียวยาวร้อยเจ็ดสิบกว่ากิโล
มาตื่นอีกทีก็อีตอนกินข้าวกลางวัน เออน้ำลายบูดจริงๆด้วย

จะว่าไปแล้วเมืองตากนี่ผมก็เคยมาหลายครั้งสมัยยังเป็นเด็กๆ
เพราะพ่อผมเป็นข้าราชการ สมัยหนุ่มๆเคยย้ามารับตำแหน่ง
เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอที่อำเภอพบพระ อำเภอชายแดน
ติดกับประเทศหม่องเพื่อนบ้าน คราวนั้นผมก็อายุราวๆสิบขวบ
ภาพที่จะจำได้มีเหลืออยู่สองภาพ ภาพแรกก็คือผมนอนอยู่หลังกระบะ
รถปิ๊กอัพประจำตำแหน่งของพ่อที่เรียกว่า อีเขียว ผมนอนแผ่
ดูท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปมาอยู่นาน และพบว่ามันเป็นภาพที่สวยงงาม
ที่สุดภาพหนึ่ง ฟ้ากว้างๆ ป่าไม้เขียวๆรกครึ้ม สลับกับวิวภูเขาริมสอง
ข้างทาง นึกถึงแล้วก็ชวนให้คิดไปว่าเมืองไทยเรานี้แหละมีสวรรค์
ไม่ต้องไปหาสวรรค์วิมานที่ไหนหรอกเกาหลีเกาเหลาที่ไหนมันจะสู้
ของปลอมทั้งนั้น

ภาพที่สองก็คือภาพที่พ่อให้นอนใต้เตียง เมื่อยามมีเสียงปืนเสียงระเบิด
อ้อ ก็ขณะนั้นเขตอำเภอพบพระยังไม่ได้เป็นอำเภอ เป็นแค่ กิ่งอำเภอ
แถมเป็นเขตสีชมพูเสียด้วย ไม่ใช่ว่ามันจะสวยจะงามอะไรหรอกนะครับ
มันเป็นเขตการต่อสู้ที่ทางราชการกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
แบบเบาบางลงหน่อยเท่านั้นเอง นัยว่าถ้ารบกันหนักๆ
ก็เป็นพื้นที่สีแดง รบกันเบาๆก็สีชมพู ไม่รบกันแล้วก็เป็นสีขาว
ตามภาษาทางการท่านว่าไว้ สมัยนั้นรบกันนะครับ ปืนจริง
ระเบิดจริง ตายจริง คืนหนึ่งระหว่างปิดเทอมผมมาเที่ยว
ที่ตากมาอยู่กับพ่อ ผมจึงต้องลงไปนอนใต้เตียง
จากนั้นแล้วก็เห็นพ่อปิดไฟ แถมเอาปืนเอ็มสิบหกมากอดไว้
แล้วก็มีทหารอาสามาแอบๆดูอยู่ในบ้านอีกคนสองคน พร้อมอาวุธ
อารมณ์ตอนนั้นง่วงครับจำเป็ดจำห่านอะไรไม่ได้เลย

หลังอาหารมือเที่ยงที่ร้านขนมจีนอร่อยมากแถวๆแม่สอดจบลง
ผมก็ตื่นเต้นมากเพราะจำได้ว่าภาพที่จะเคยเห็นตอนเด็กๆ
ที่เป็นวิวท้องฟ้ากว้างๆ ป่าไม้ครึ้มเขียว ภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตาจะย้อน
เป็นภาพจริงกลับมาให้เห็นอีกครั้ง ผมจึงตั้งตารอแบบตั้งใจว่า
กูจะไม่หลับ กูจะซึมซับธรรมชาติไปเย้ยหยันคนที่ไม่ได้มาเสียให้
สำนึกกันไปว่า ชาตินี้คนที่ไม่มาก็จะไม่ได้รับรู้ถึงธรรมชาติที่งาม
ปานสวรรค์ว่าเป้นเช่นใดหรอก ดังนั้น ร้อยห้าสิบกิโลเมตรจากอำเภอ
แม่สอด ไปอำเภออุ้มผางนี่ผมจะตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่หลับไม่หลับ
อืม ก่อนขึ้นรถนี่มีแจกยาหม่องคนละหนึ่งขวด กับยาเขียวแบบ
ยาหม่องน้ำแปะฮวยอิ๊วอีกหนึ่งขวด สงสัยกันป้าๆเป็นลมมั๊ง
แล้วผมก็รับมาอย่าเสียมิได้แล้วก็ยัดไว้ตรงซอกๆของรถโดย
ไม่ได้สนใจว่าจะต้องมาใช้ ก็ผมยังหนุ่มทั้งแท่ง...

ครึ่งทางของร้อยห้าสิบกิโล รถตู้ของทริปเราจอดพักที่หุบเขา
กลางทางระหว่างแม่สอดกับอุ้มผาง เป็นที่พักกลางทาง
ที่สร้างไว้อย่างสวยงาม แต่เชื่อไหมว่าผมมีเวลาชื่นชมกับบรรยากาศ
ในหุบเขาแห่งนั้นเพียงแวบชายตามอง เพราะเมื่อก้าวลงจากรถไปได้
ผมดิ่งตรงไปคายขนมจีนทิ้งในห้องน้ำ ราวกับว่าไอ้ที่กินไปมัน
ไม่อร่อย และหรือมันมีพิษต่อร่างกาย ผมจึง"อ้วก"ทิ้ง ไปเสียทั้งหมด
ครับผม"เมา"รถ

หลังจากคายอาหารมื้อกลางวันทิ้งไปอย่างไม่มีเยื่อยใยแล้ว ที่น่าขำกว่านั้น
คือในกระเป๋าเสื้อของผมมีไอ้ขวดยาหม่อง กับขวดยาน้ำแปะฮวยอิ๊ว
ที่ถูกใช้ไปตั้งอย่างละครึ่งขวด แล้วในใจผมก็นึกว่านี่กูเป็นขนาดนี้ป้าๆ
ที่มาด้วยจะขนาดไหนวะเนี่ย...ว่าแล้วเดินไปดูสักหน่อย

อายครับอายมาก ภาพที่เห็นคือป้าๆของผมรวมถึงอาๆและอีกหนึ่งพี่
ยืนหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็สาละวนอยู่กับการ
หาที่ถ่ายภาพ บ้างก็เดินชมดอกบัวตองอย่างละเลียด ไม่มีป้าคนไหน
มีอาการเมารถเมาภูเขาอย่างผมสักคน แถมยังอุตส่าห์เป็นห่วงผม
ถามว่าเป็นอย่างไรลูกสนุกไหม พากันมาลูบหัวจับไหลผม
ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเสียอีก อืม อายครับอายจริงๆ

ยังครับยังไม่พอ พอรถออกเดินทางต่อ ป้าๆทั้งหลายก็ร้องเพลง
สมัยนิยมในสมัยที่ท่านๆยังเป็นสาวๆมาร้องกันได้
อีกหลายสิบหลายร้อยเพลง มีเล่นกันคุยกัน
หัวร่อต่อกระซิกมีความสุขและสนุกสนานกันไป
จนผมประหลาดใจว่านี่เกินเจ็ดสิบกันก็หลายท่านแล้วนะ
แปลกดีจริง ความชราและความเหนื่อยยาก ไม่ได้มีให้เห็น
ในท่านๆเหล่านี้เลย มันหายไปไหนหมดหนอ...
แล้วขณะที่ท่านๆเหล่านั้นมีความสุข ผมก็มีทุกข์เพิ่มขึ้น
ทุกๆหลักกิโลเมตรที่ผมเฝ้านับไปทีละอัน ว่าเมื่อไหร่จะถึงอุ้มผาง
สักที กินรีนางไม้เล่กลบังตากันหรือเปล่า ทำไมมันลำบากเช่นนี้
สวรรค์ไปทางเดียวกับทางนรกคดเคี้ยวนี่แน่หรือ หลักกิโลแต่ละอัน
ที่ผ่านไปอย่างช้าๆนี่มันเขียนหลอกล่อเราไปเรื่อยๆว่าจะถึงแล้วๆ
หรือเปล่า...ทรมานจริงๆครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมจะอ้วกอีกแล้ว
ยาหม่องยาดม ถูกประโคมเข้าจมูกเข้าตา ก่อนที่ผมจะหมดแรงงีบ
หงอยไปอีกครั้งอย่างทรมาน

หลังจากพ้นกิโลที่ร้อยห้าสิบ และเวลาที่กินไปมากมายถึงห้าชั่วโมง
รถตู้ที่พาเรามาก็ค่อยๆคลานอย่างเชื่องช้า เข้ามาจอด ณ.ยังร้านขาย
ของที่ระลึกแห่งหนึ่ง ผมก็ค่อยๆพยุงซาก ตอนนี้มันเหลือเป็นซาก
จริงๆ ออกจากรถ พร้อมความมึนเมา ไปขยอกคายของเก่าออกจาก
ท้องอีกรอบหนึ่ง แต่เที่ยวนี้ มีแต่ลมกับกลิ่นยาหม่องคละคุ้ง
ส่วนป้าๆที่มาทัวร์เดียวกัน ก็เหมือนเดิม แลดูสนุกสนานและ
มีความสุขเปี่ยมล้นเหมือนเดิม ผมจึงค่อยๆพยุงตัวไปเดินดูของฝาก
และของชำร่วย ซึ่งก็หยิบได้แค่โปสการ์ดสวยๆสองอัน และก็ออก
ไปชักภาพเป็นที่ระลึก กับหลักกิโลที่บอกจำนวนโค้งถนน
ที่โยนซ้ายทีขวาทีจนผมหมดแรง
ค่ำนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ที่หลังจากกินข้าวเสร็จ
ตอนหนึ่งทุ่ม ผมก็เข้าห้องนอนหลับไปสลับกับตื่นเป็นพักๆ
จากเสียงร้องคาราโอเกะของป้าๆที่น่ารัก ซึ่งยังควครวญกล่อมไพร
และกล่อมผมเข้านอนไปจนถึงเที่ยงคืน แข็งแรงอะไรกันขนาดนี้เนี่ย...


เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่อนประมาณตีสี่ ด้วยเสียงคุยกันและหัวร่อต่อกระซิก
ของป้าๆของผมอีกแหละ นับๆดูแล้วนี่ป้านอนกันคนละไม่ถึงหกชั่วโมง
เลย ตื่นมาเตรียมตัวไปเที่ยวต่อกันเสียแล้ว
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จประมาณตีห้า รถสองแถวก็มารับ
คณะทัวร์ของเราออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ ดอยหัวหมด
ดอยหัวหมดนี่เป็นจุดชมวิพระอาทิตย์ขึ้นครับ ก็เหมือนๆกับจุดชมวิว
พระอาทิตย์ขึ้นปกติทั่วไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แถมเช้าวันนั้น อากาศ
ไม่หนาวเย็นอย่างที่คาดหมายเอาไว้ ทะเลหมอกจึงไม่ค่อยมีให้ชมมาก
เท่าไหร่ เราจึงรอเพียงแค่ให้พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าแล้วก้เดินทางกลับ
ไปยังที่พักเพื่อกินข้าวเช้า

แต่เมื่อมาถึงที่รีสอร์ตตอนราวๆเจ็ดโมงนิดๆ สิ่งที่ทำให้ผม
ประทับใจมากนับตั้งแต่เดินทางมาถึงที่อุ้มผางแห่งนี้
คือภาพที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ แต่เป้นที่หลังที่พักของคณะเราเอง
ไม่ต้องไปหาทีไหนไกลภาพที่เห็นคือ
บริเวณลำธารหลังรีสอร์ตที่เป็นไร่ข้าวโพดร้าง
ลำธารใสๆ ไหลเอื่อยๆ มีหมอกลงจางๆ สะท้อนกับเงาแดดยามเช้า
แสงเงาของต้นไม้ล้อไปกับแสงแดด ซึ่งส่องผ่านลงมาตามเงาไม้
เป็นเสมือนม่านพระอาทิตย์เป็นเส้นๆสีทองมัวๆดูราวกับว่า
ผมมายืนอยู่ท่ามกลางภาพเขียนแบบจีน ผมรีบกางขาตั้งกล้องออก
เก็บภาพอันแสนน่าประทับใจของเช้าวันนั้นไว้อย่างเต็มหัวใจและไม่ลืม
ที่จะเก็บความสวยงามนั้นไว้ด้วยกล้องถ่ายภาพ ที่เก็บบันทึกไว้
เป็นสิบเป็นร้อยรูป

และพอประมาณแปดโมง แสงแดดและสายหมอกจางไปอย่างช้าๆ
ผมก็รีบจัดแจงกินข้าวกินปลา และเตรียมตัวไปล่องแพยาง
ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้หาข้อมูลการมาเที่ยวครั้งนี้ไว้เลย
ปกติเวลาจะไปไหนๆ ผมมันเตรียมหาข้อมูลไว้ก่อนเนิ่นๆเสมอ
เช่นว่าที่ท่องเที่ยวหน้าตาเป็นอย่างไร ที่พักหน้าตาเป็นอย่างไร
ถนนหนทางดีมากน้อยแค่ไหน ข้อดีก็คงจะเป็นว่าผมมักจะรู้ล่วงหน้า
ว่าจะเจออะไร ภาพที่เห็นควรจะเป็นอย่างไร แต่นั่นก็คงจะเป็นข้อเสีย
ไปในตัวเลยด้วยว่า มันก็ไม่มีอะไรให้ประหลาดใจมากมายนัก
ซึ่งคราวนี้เห็นทีจะต่างไป เพราะผมไม่รู้เลยว่า หมายกำหนดการ
ที่มีอยู่สามวันนั้น ผมจะได้ไปพบไปเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งข้อดีก็อีตรงที่
ทุกอย่างเป็น "เซอไพรส์" (ขออนุญาติใช้ภาษาต่างชาติ)
ไปเสียหมด ดุอย่างไอ้ 1219 โค้งนั่นปะไร ถ้ารู้ก่อนผมคงไม่มาทริบนี้
รับรอง...

สายๆ รถสองแถวที่พาเราไปดูดวงอาทิตย์โผล่พ้นฟ้า
ก็พาคณะทัวร์เกษียนของเรามาปล่อยทิ้งไว้ที่แถวๆสะพาน
ริมลำธารแห่งหนึ่ง เพื่อลงเรือล่องแพจากจุดนี้ไปอีกสี่ชั่วโมง
เพื่อมุ่งหน้าไปตามหานางฟ้านางสวรรค์ที่นัดแนะกับผมเอาไว้หลาย
หนหลายคืน เอาละ คราวนี้จะได้เจอกันเสียที

เรือยางสองลำ ลำละห้า่คนพาเราล่องออกจากฝั่งโดยคนคัดท้าย
เป็นเด็กหนุ่มชาวพม่ารามัญ 1 คน และนายคัดหัว เป็นชาวไทยกำยำ
วัยกลางคนอีกหนึ่งคน ค่อยๆล่องไปตามลำธารอย่างช้าๆ ผมอดไม่ได้
ที่จะเอาเท้าราน้ำ แหม ไม่ต่องกลัวครับ ก็คนพายเรือเขาเป็นคน
อนุญาติเองให้ผมนั่งคร่อมกราบเรือ เอาเท้าข้างหนึ่งแหย่ลงไปในน้ำได้
มีหรือผมจะพลาด
เรือล่องเข้าไปกลางป่าได้สักไม่เกินสิบนาที ภาพสวรรค์ก็ลอยเข้ามา
ปรากฏขึ้นต่อหน่าต่อตาผมมันเป็นภาพที่สวยงามอย่างที่ผมไม่เคย
พบเห็นมาก่อน หุบเขา ป่าไม้ และความเขียวชอุ่มของป่าอุ้มผาง
แดดระยับที่ส่องสะท้อนกับหินผา ก่อให้เกิดสีทองอร่ามจับต้องไปทั่ว
ใบไม้เขียวๆ พริ้วใบไปตามสายลมเย็นๆ ซึ่งในสายลมนั้นก็มีกลิ่นหอม
อ่อนๆของดอกไม้ป่าที่ผมไม่รู้จักปลิวขจรมาในอากาศ อา..นี่หรือ
สวรรค์ชั้นนิมานรดี ที่พักนักพักพิงของเหล่าทวยเทพพยดานางฟ้า
กินนร กินรี ผมได้มาถึงแล้ว ถึงว่าสิ ทางมาถึงได้ลำบากยากเย็นมาก
มายนักเพราะมันเป็นแค่บททดสอบสำหรับผู้ที่มีชีวิตเหลือรอด
มาจากนรกพันโค้ง ค่าตอบแทนมันช่างคุ้มค่าเสียนี่กระไร

เรือลำน้อยพาเราล่องมาได้สักชั่วโมงก็มาถึงจุดที่เป็นน้ำตกทีลอเร
และน้ำตกทีลอจอ ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้จำหรอก
ว่าน้ำตกไหนชื่ออะไร ผมจำแต่ภาพที่เห็นว่าสายหนึ่งของน้ำตก
ที่เห็นอยู่ด้านหน้าที่สะท้องกับแสงแดด แล้วก่อให้เกิดรุ้งกินน้ำซ้อนกัน
ถึงสองตัวนี่หรือเปล่า ที่เป็นเสมือนสระอโนดาษ ที่นางฟ้านางสวรรค์
มาอาบน้ำเล่นน้ำกัน ช่างเป็นภาพที่หัศจรรย์มากสำหรับผมในตอนนี้
และแน่นอนผมก็เห็นป้าๆที่น่ารักขอผมตะลึงไปกับภาพที่เห็นเช่นกัน
แล้วก็เหมือนเคย ผมก็มีหน้าที่เป็นช่างภาพ ต้องทำหน้าที่ปีป่ายหินผา
ขึ้นไปถ่ายภาพน้ำตกสายรุ้งแห่งนั้น ให้กับป้าๆได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ซึ่งป้าๆก็ชอบใจกันทุกคน ผมเองก็สุขใจไปด้วยที่เห็นป้าๆดีใจ..


สี่ชั่วโมงบนสวรรค์ เรือก็พาเรามาแล่นจอดสงบนิ่ที่ริมฝั่ง ในใจผมก็คิด
ไปแล้วว่า เดี๋ยวอีกไท่เกินข้ามเนินข้างหน้า น้ำตกสวรรค์ทีลอซู
คงอยู่ที่ปลายเนินนั้นแน่ๆ ผมจึงรีบเดินขึ้นไปบนเนินแห่งนั้น
แต่ภาพที่เห็นก็คือภาพพี่คนคัดหัวเรือ ยืนยิ้มเผล่อยู่ท้ายรถสองแถว
ที่พาเรานั่งไปดูพระอาทิตย์ตอนเช้า มาจอดรอไว้พร้อมกับส่ง
"ผ้าปิดจมูก" ให้คนละผืน ผมก็เลยถามแกว่า ยังไม่ถึงอีกหรือพี่
ตะแกก็บอกว่า อ๋อ ต่อรถไปอีก"แค่" สิบสี่กิโลเมตรครับ เดี๋ยวก็ถึง
เอาอีกแล้ว เซอไพรส์อีกแล้ว....

ผมคิดแล้วไม่มีผิด พญามารยังต้องการจะทดสอบความอดทนของ
ผมอีกคำรพหนึ่ง สิบสี่กิโลที่พี่แกว่า เป็นสิบสี่กิโลที่ทรมานที่สุดในชีวิต
ผมแล้ว จำได้ว่าถนนแถวบ้านอยุธยาผมสมัยยังไม่ราดยาง ยังดีกว่านี้
ร้อยพันเท่า มันทั้งตลบไปด้วยฝุ่น หลุมบ่อลึกราวกับว่ามันเป็นเหว
ผมกับอาผู้ชายต้องยึดเสาหลังคารถไว้อย่างแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง
และถ้ามันเหมือนทางจะดีขึ้นมาสักห้าเมตรสิบเมตร นั่นหมายถึง
มันจะแย่ไปอีกร้อยสองร้อยเมตร แล้วไม่ต้องถามถึงรูปถ่าย
แค่าจะเอามือคลายจากเสาหลังคารถ ผมยังไม่กล้า ขืนปล่อย
คงได้ลงไปนอนแอ้งแม้ง อยู่บนถนนเป็นแน่แท้

หลังจากถูกโยนไปโยนมาอีกสองชั่วโมง กับระยะทางแค่สิบสี่กิโลเมตร
ซึ่งถ้าเป็นในกรุงเทพเมืองฟ้าอมรยามรถไม่ติด คงใช้เวลาเพียงแค่
สิบห้านาทีเป็นอย่างมาก ตอนนี้ผมจึงรู้สึกเหนื่อยเข้าเส้น
ขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งก็จะต่างจากป้าๆของผม ที่ดูเหมือนกับว่าจะสนุกกับ
การถูกโยนไปโยนมาตั้งสองชั่วโมง ผมยังแอบได้ยินป้าๆคุยแซวๆ
กันไปกันมาว่าสนุกดี ไม่ได้ออกกำลังแบบนี้มานานแล้ว ขากลับคง
สนุกกว่านี้เวรกำของผม เอาแรงมาจากไหนกันเนี่ยครับป้า

ยังครับ เมื่อรถจอดที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกทีลอซูแล้วนั้น ยังคงมี
เซอไพรซ์อีกอย่างคือ จากจุดที่เราจอดรถ เราต้องเดินเท้าเข้าไปยัง
น้ำตกอีกหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง จากที่ผมคำนวนดูคร่าวๆ ระยะทาง
แค่หรึ่งพันห้าร้อยเมตรนี่ ง่ายมากสำหรับผม ผมจึงเร่งกินข้าวกลางวัน
ให้เสร็จแล้วก็จัดขบวนป้าๆเดินเข้าไปยังตัวน้ำตก
จากกลุ่มใหญ่สิบคน ระยะทางแค่ช่วงอึดใจแรก
ป้าของผมสามคนก็ถอดใจยอมแพ้ความลำบากที่พญามารสร้างเอาไว้
กั้นกลางระหว่างสวรรค์กับแดนมนุษย์ คงจะสืบด้วยหนทางที่มัน
ไม่ได้เป็นทางราบไปตลอด มันมีเนินขึ้นบันไดสลับขึ้นๆลงๆ
อยู่อีกพันสองพันขั้น อย่าว่าแต่ป้าเลย ผมเองก็ถอดใจไปครั้งหนึ่ง
เมื่อเดินจากสิบคน มาจนเหลือกันเพียงสองคนกับอาผู้ชาย
แล้วกำลังเหนื่อยได้ที่ แต่ป้ายบนหัวมันดันเขียนเอาไว้ว่า อีก หนึ่งกิโล
แม่เจ้า นี่ผมเดินมาห้าร้อยเมตรเองหรือนี ผมกับอา่ผู้ชาย
จึงหยุดมองหน้ากันอย่างเข้าใจในใจว่า"เหนือยชิบหาย"
แต่ก็ยังต้องก้าวขาต่อไปให้ถึงปลายทาง
ผมเฝ้าสังเกต สีหน้าคนที่เดินสวนกลับมาจากน้ำตก ทุกๆคนมีรอยยิ้ม
ฉาบฉายอยู่บนใบหน้าแทบจะทุกคนไป และแล้วเสียงที่ทำให้ผมแอบ
ยิ้มทั้งเหนื่อยๆ ก็ดังเข้ามาให้ผมได้ยิน ครับ เสียงน้ำตกทีลอซู

เมื่อผมก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายที่ส่งเราผ่านเข้าไปยังลานปูนกว้างๆ
สิ่งที่แอบซ่อนอยู่หลังต้นยางต้นใหญ่ก็ปรากฏแก่ผมเบื้องหน้า
สายน้ำตกห้าสายสิบสาย ที่กระโจนลงจากหน้าผาสูงชัน ลงสู่เบื้องล่าง
ปล่อยละอองล่องลอยผ่านแสงแดดยามบ่ายๆ กระเซ็นเป็นฝอยสีทอง
ปลิวมาโดนหน้า ผมหยุดตะลึงกับภาพที่เห็นไปสักครู่ แล้วก็เหมือนเดิม
คว้ากล้องออกมาแล้วก็ปีนๆไปตามหินก้อนนู้นก้อนนี้ หยุดพักเก็บภาพ
และชื่นชมสรวงสวรรค์อยู่เป็นนานสองนาน


น้ำตกทีลอซูแห่งนี้น้ำตกทีลอซู ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผาง
ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกสีดำ
มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูง
จากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ
ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี
ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ
มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์
เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเซีย แล้วพี่ไกด์คัดหัวเรือ
ก็บอกผมว่า เคยมีเจ้าหน้าที่เอาเครื่องบิน บินขึ้นไปสำรวจด้านบน
ของน้ำตก เห้นเขาว่าเป็นแอ่งใหญ่กว้างประมาณห้าสนามฟุตบอล
เร้นกายอยู่ในผืนป่า

ผมตะเกียดตะกายไปยังชั้นต่างๆของตัวน้ำตกเพื่อเก็บภาพมุมนู้นมุมนี้
อยู่สักพัก เมื่อเห็นสมควรแก่เวลา ผมก็ตะเกียดตะกายลงมายัง
ลานกว้างทางเดินกลับ ผมหยุดเก็บภาพผีเสื้อที่ร่อนถลามาเกาะบ่า
เกาะตามกิ่งไม้ได้สักรูปสองรูป ก็จำเป็นต้องหันหลังกลับแต่ก่อนไป
ผมก็ได้เพียงแต่คิดว่าคุ้มไหม กับความลำบากสาหัสซึ่งมีค่าตอบแทน
ที่คุ้มค่าที่สุดขนาดนี้ ผมก็ขอตอบเลยว่า คุ้มครับ กับชีวิตหนึ่งที่
ผมมีโอกาสได้ย่างเท้าขึ้นมาบนสวรรค์ บนชั้นนิมานนรดี ได้มาเสพย์
ภาพความเป็นทิพย์ของสวรรค์ชั้นนี้แล้ว ชาตินี้ ผมคงไม่หวัง
จะได้พบเห็นความสวยงามเทียมวิมานของที่อื่นมาเทียบอีกได้แล้ว
ก็ผมมาถึงสวรรค์แล้วนี่ แม้จะไม่มีกินนรี นางไม้ นางฟ้าที่ไหน
แค่มีวิมานเปล่าๆ ก็คุ้มแล้วจริงไหมครับ

ว่าแล้วผมก็หันหลังกลับไปตกนรก
โยกเยกอีกสองชั่วโมง แล้วก็ไปบิดใส้คายของเก่าอีกรอบ
ในวันรุ่งขึ้นอีกห้าชั่วโมง ร้อยห้าสิบกิโลเมตร คุ้มครับ ลองดู เขียนจบแล้ว
ผมขอตัวไปคายของเก่าอีกสักรอบ...มันยังไม่ชินกับการตกสวรรค์น่ะครับ
นี่หัวยังมึนๆวิงเวียนอยู่จนบัดนี้เลย


..............................................................................

สุดท้ายนี้ขอบกราบขอบพระคุณบทกลอน
จากคุณอาท่านหนึ่งที่ส่งมาปลอบใจตอนขาไป
ขอบคุณมากครับ ตรงใจผมมาก...มันประมาณนี้เลยเชียว

"ออกเดินทางแสนสบายทายปัญหา
ชมพนาไม้ชอุ่มถึงอุ้มผาง
เจอพันโค้งโก่งคออ้วกข้างทา
มือเท้ากางคอพับขอหลับตา"

แล้วมันก็เป็นทั้งขาไปแลขากลับ ลองดูครับลองดู


โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด