เฝ้ารอเวลาที่ลมแห่งรักนั้นจะพัดพามาอีกครั้ง



ผมชอบประโยคประโยคหนึ่ง ในนิยายเรื่อง ยามเมื่อลมพัดหวน
ของนักเขียนนามอุโคตรท่านหนึ่ง คือ ลุงวาณิช จรุงกิจอนันต์
นักเขียนในดวงใจของผมที่ล่วงลับไปแล้ว
ใจความที่ว่าจะอยู่ในสองบรรทัดสุดท้ายของเล่ม ที่ตัวพระเอกรำพันกับ
ตัวเอง ก่อนจะจบเรื่อง ผมจำได้คร่าวๆว่า
"สายลมแห่งความรัก พัดพาให้เขาหลบหนีความเจ็ปปวดมาไกล
ถึงที่นี่ แล้วก็คงเป็นสายลมแห่งรักอีกนั่นแหละ
ที่กำลังจะพัดพาให้เขาได้กลับไปยังถิ่นที่เขาจากมาเพื่อพบรักใหม่อีกครั้ง"
ข้อความที่จริงมันไพเพราะและสวยงามกว่านี้
แต่ด้วยความว่าผมจำได้แค่ครึ่งๆกลางๆ มันก็เลยงอกออกมาได้นิดเดียว
เอาไว้จะไปคว้ามาอ่านอีกสักรอบ แล้วผมจะแอบมาเขียนใหม่ก็แล้วกัน
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบทความนี้นี่หรือ...
ผมก็โดนสายลมแห่งความรัก พัดพากลับไปยัง "ลำปาง" เช่นกันครับ

จริงๆก็แหม เที่ยวนี้ผมอยากจะเขียนอะไรๆที่มันโรแมนติกดูบ้าง
เขียนไป เขียนไป มันก็ออกแนวลูกทุ่งมาเสียเยอะแล้ว
ไอ้การเปลี่ยนแนวเขียนนี่มันก็ใช่ว่าจะได้ทำบ่อยๆเสี่ยเมื่อไหร่
เที่ยวนี้มีโอกาส เพราะสถานที่และเวลาอำนวย ก็ขอลองบ้างแล้วกัน
ผิดถูกดีชั่วอย่างไร ก็ขออนุญาตไว้ก่อนแล้วกันครับ

ในวันที่ผมต้องไปรอเฝ้าพ่อเข้าห้องผ่าตัด ราวๆสี่เดือนที่ผ่านมา
คืนนั้นเป็นคืนที่ค่อนข้างทรมาน เพราะหมอบอกว่า พ่อมีโอกาสรอด
และไม่รอดเท่ากัน มันทำให้มีลมตีขึ้นมาจุกคอหอย
และมีอาการนอนไม่หลับในคืนนั้น ผมก็รู้ว่า พ่อ ก็รู้สึกเหมือนกัน
แล้ววันนั้นตอนเช้า พ่อก็ไปเข้าห้องผ่าตัด
ผมก็ออกมาทำงานตามปกติ แต่ทั้งวันนั้น ผมทำงานไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทำงานไปก็รอโทรศัพท์ไป จนเข้าช่วงบ่าย แม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่า
พ่ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว แต่อยู่ดูอาการในไอซียูอีกหนึ่งคืน...

คืนนั้น ผมเข้าไปนอนเป็นเพื่อนแม่ที่โรงพยาบาล โดยมีเตียงเปล่าๆ
อยู่กลางห้อง คืนนั้นผมนอนไม่หลับ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ให้ตามันหลับลงได้ ก็เลยเปิดทีวีดู ดูไปเรื่อยๆก็คงจะง่วง และ
มันคงอยู่ในระยะกึ่งหลับกึ่งตื่น ผมไม่รู้ว่า ตอนนั้นเป็นเวลาเท่าไหร่
แต่ในทีวีมีรายการพาเที่ยวรายการหนึ่ง นำเสนอเรื่องการท่องเที่ยวจังหวัด
ลำปาง  จริงๆผมก็ดูอยู่ด้วยตาเหมือนกันแหละ แต่การสื่อสารข้อมูล
แบบกึ่งหลับกึ่งตื่นมันคงไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่
แล้วเมื่อได้เห็นภาพพระธาตุลำปางหลวงปรากฏขึ้นมาในสายตา
หูได้ยินคำว่าศักดิ์สิทธิ์ คงเป็นอัตโนมัติ มือผมยกขึ้นประนม แล้วอฐิษฐาน
ในใจว่า หากพ่อรอดมาได้จากความเจ็บป่วยไข้ตายในครั้งนี้แล้ว
ตัวกระผม จะขอไปกราบนมัสการองค์พระธาตุลำปางหลวงเป็นการแก้บน
แล้วก็เลยผลอยหลับไป
เช้าวันนั้นผมก็ออกไปทำงานตามปกติ ตกบ่ายแม่ก็โทรศัพท์มาบอกว่า
พ่อปลอดภัยดี ดูแข็งแรง แถมมือไม้โบกชี้สั่งการได้ตามปกติ
ผมจึงรู้ในใจแล้วว่า ต้องไปลำปาง...


สองสามเดือนถัดมาจนกระทั่งล่วงข้ามมาปีใหม่ กำหนดการไปลำปาง
ถูกเลื่อนไปสองสามครั้งด้วยความไม่สะดวกหลายเรื่อง
จนกระทั่งได้ฤกษ์งามยามดี เมื่อตอนเดือนมกราคมราวๆวันที่สิบกว่าๆ
ผมจึงได้ไปลำปางจริงๆเสียที

คืนก่อนรถจะออกผมนอนไม่หลับ คิดถึงเรื่องหนึ่งว่าเอ๊ะ ทำไมต้องลำปาง
เป็นนครพนม สุไหงปาดี หรือ แปดริ้วนครนายก ไม่ได้หรือไง
นึกไปนึกมาก็พาให้นึกย้อนกลับไปสักสิบสี่สิบห้าปีถอยหลัง
ผมเคยไปลำปางแล้ว มีอดีตผูกไว้ที่ลำปางนี่หนึ่งหน
กับคนหนึ่งคน และคงเป็นเพราะเรื่องนี้กระมัง
ผมจึงต้องกลับมาแก้กรรมที่ลำปาง
อ้อ เรื่องราวโรแมนติกมันเริ่มตรงนี้ไงเล่ามิน่า

เมื่อวันเดินทางมาถึง สมาชิกเดินทางก็เหมือนเดิมสามคน
น้องชายหมายเลขห้าและภรรยาหมายเลขหนึ่ง อืม
ไม่ใช่สิ ภรรยาคนเดียวและไม่มีหมายเลข (ฮา)
พวกเราออกจากบ้านตามกำหนดการคือ หกโมงเช้า แต่ก็มีเหตุให้
เสียเวลาเดินทางไปหนึ่งชั่วโมง ด้วยเจ้าวัวใหญ่บีเอ็มดับบิว
รถน้องชายที่อาสาจะเป็นผู้ขับไปในทริปนี้ มีอาการแอร์ไม่เย็นขึ้นมาเสียเฉยๆ
งานขับรถจึงถูกโอนกลับมาที่ผม และก็จำเป็นที่จะต้องให้ผมเอาไอ้จะอุ๋ง
รถคันน้อยของผมไปแทน ใจลึกๆผมก็รู้อยู่ด้วยเหตุผลจากเสียงในหูที่ว่า
"มึงเป็นคนบนบานศาลกล่าว มันจะสะดวกไปถ้าให้คนอื่นขับ มึงต้องขับไปเอง
ไม่ให้คนอื่นมาลำบาก" ดังนั้นก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่ผมจะยินดีเป็นที่สุด
ที่ได้ทำธุระกิจนี้ด้วยตัวเอง

เจ็ดโมงเช้าเปลี่ยนรถเรียบร้อย ไอ้จะอุ๋ง (มาจาก คำว่า เล็กมาก ผมชอบชื่อมัน
เพราะมันเล็กที่สุดในถนนเวลาไปไหนมาไหน) ก็คลานออกจากกรุงเทพอย่าง
เชื่องช้า ไล่เลียบไปตามถนนมุ่งสู่ลำปาง

บทสนทนาในรถก็ดำเนินไปตามเรื่องราวต่างๆ ทางนู้ทีทางนี้ที
แต่ในหัวใจลึกๆ ผมกลับนึกไปถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยที่ผมเป็นหนุ่มน้อย
หน้าตาขี้เหร่ ตัวดำๆ ซึ่งย้ายมาจากโรงเรียนประจำชายล้วน
มาเข้าโรงเรียนเกือบหญิงล้วน

ภาพของเช้าวันรายงานตัวนั้นผมยังจำได้ดี
ราวกับดูหนังในมุมของบุคคลที่สาม
เด็กชายวัยรุ้นสักราวๆสิบห้าสิบหก เดินกะเร่อกะร่าเข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้
ที่เป็นโรงเรียนใหม่สำหรับเขา แวบแรกที่เห็นภาพโรงเรียน ในใจผมก็นึกว่า
มันเก่าและกันดารเป็นที่สุด นี่กูต้องเรียนที่นี่จริงๆหรือ โอยไม่ไหวๆ
ในระหว่างที่ผมเดินเข้าไปในโรงเรียนได้ไม่กี่ก้าว ผมก็เดินสวนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
สิ่งที่ชวนให้ผมสะดุดก็คือ เธอมีผิวขาว หน้าตาสะสวย ตัดกับคิ้วดำขลับ ที่วางอยู่บน
นัยน์ตากลมโตอย่างแปลกประหลาด จมูกเป็นสันคม เรียวปากอันน้อยนิดเข้ารูปสีชมพูจางๆ
สะกดนิ่งให้ผมยืนมองราวกับว่าไม่เคยเห็นคนมาก่อน
แล้วก็เป็นจริง เธอก็หยุดยืนจ้องผมเหมือนกัน
แต่เธอไม่ได้จ้องเปล่า เธอเท้าเอวแล้วถามผมว่า

"เฮ้ยไอ้ดำ ไม่เคยเห็นคนหรือไง
เด็กใหม่ละสิถ้าแก"...นั่น เลิฟแอทเฟิสต์ฮิตตรงนี้นี่เอง








รถวิ่งยาวๆมาสักชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็แวะกินอาหารเช้าที่สิงห์บุรี
มื้อเช้าประจำทางที่ไม่ว่าทริปไหนๆ ถ้าจะไปทางเหนือ ต้องมาแวะกินผัดไทย
เจ้านี้ ที่ปากบาง ผัดไทยปากบาง แล้วอากาศตอนออกจากกรุงเทพนี่ผมว่ามัน
ก็เย็นๆเฉยๆไม่หนาวไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่พอมาตอนถึงสิงห์บุรีนี่
เราทั้งหมดต้องเดินไปเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ เนื่องด้วยอากาศที่ต่างกับ
ที่กรุงเทพอย่างมาก มันหนาวน่ะครับ แต่กินผัดไทยปากบางเคล้ากับลมหนาวนี่
ผมก็ว่ามันอร่อยดี


"...ไอ้ดำ นี่แกชื่ออะไรเนี่ย แกเสร่อมากนะที่มาอยู่ห้องเดียวกันกับฉัน..."
นี่เป็นคำทักทายคำแรกที่ "บัว" เอ่ยปากกับผมอีกครั้ง ด้วยท่าทาง
ก๋ากันออกทอมบอยหน่อยๆ และดูแล้วเหมือนกับว่า เธอเป็นหัวหน้า
ของผู้หญิงทั้งหลายทั้งปวงในห้องนี้ อ้อลืมบอกไป ห้องที่ผมเรียนนี่คือ
ชั้นมัธยมสี่ ทั้งห้องมีสามสิบห้าคน แบ่งเป็นผู้ชายเสียสามคน
ผู้หญิงสามสิบสองคน อืม...สวรรค์ของไอ้ดำจริงๆครับ

ตลอดช่วงหนึ่งเดือน ที่ผมเรียนเริ่มหนังสือในห้องนี้ ผมก็มีเหล่ๆสาวไว้หลายคน
แหม วัยรุ่นน่ะครับ จะให้ไปเหล่นักการภารโรง เหล่แม่ค้าน้ำแข็งใสก็คงจะแปลก
แถมมีเพื่อนสาวๆร่วมห้องร่วมชั้นอีกตั้งกระบุงโกย ที่หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มพริ้มเพรา
กิจกรรมยามนี้ของผมก็ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เหล่สาวเป็นกีฬาเลยแหละ

ในช่วงเทอมแรกๆของการเรียนชั้นม.4 ผมดอดไปจีบสาวไว้หนึ่งคน
เป็นสาวเอกศิลป์ฝรั่งเศสอยู่ห้องติดกัน ได้มาเจอกันก็อีตอนที่ผมเดินผ่าน
หน้าห้องเรียนและเห็น "น้องอัม" เธอมองมา "อุบ๊ะ มีคาแร็คเต้อร์ ชอบๆ"
แล้วผมก็เลยหน้าด้านติดตามไปจีบเธอตอนเลือกเข้าชมรมหลังเลิกเรียนอีก
ผมเลือกเรียนชมรมศิลปะ ในขณะที่ไอ้พวกผู้ชายร่วมชั้นม.4
อีกสิบหกคน คือห้องผมเนี่ยผู้ชายสามคน
ทั้งชั้นรวมผู้ชายได้สิบหก ไอ้พวกใจหนามือหนาทั้งหลายมันเลือกเรียนวิชา
ช่างอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม มีผมคนเดียวทะลึ่งไปอยู่ชมรมศิลปะ
แหะๆ ผมตามหญิงมาครับ แต่ไอ้ที่บังเอิญกว่า "บัว" อยู่แถวเดียวกับผม
เธอเลือกเรียนชมรมศิลปะเหมือนกัน...

ผ่านนครสวรรค์เราแยกไปทางซ้าย ก่อนข้ามสะพานเดชาติวงศ์
เพื่อออกไปตามทางเลี่ยงเมือง ผมขับรถแบบไม่รีบไปเรื่อยๆ ผ่านกำแพงเพชร
จนกระทั่งไปเข้าบ่ายโมงที่จังหวัดตาก เราจอดแวะพักรถ
แล้วก็เดินหาของกินกันตามตลาด จนไปจบลงที่ข้าวมันไก่กับโอเลี้ยง
แก้ง่วง จากนั้นก็เดินทางต่อไป

"ซวยจริงๆแม่งต้องมาเรียนกับมันอีก...ไอ้ดำ"  นี่เป็นคำกล่าวที่บัว
พูดกับผมตรงๆต่อหน้า เมื่อเข้ามาเรียนร่วมกันในชั่วโมงชมรมศิลปะ
แต่ผมก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร กับเธอ เพราะน้อง"อัม" แฟนผมบอกกับผมว่า
"ช่างเหอะ บัวมันเกลียดผู้ชาย มันเป็นอย่างนี้ของมันแหละ..." ในขณะที่ผมฟังน้องอัม
เล่าเรื่อง ผมก็คอยแอบชำเลืองมองหน้าเธอบ่อยๆ ผมว่าเธอสวยกว่าผู้หญิงทุกคน
ในโรงเรียนนี้ ผิวขาวๆ ตัดกับแสงแดงตอนเย็นๆที่ลอดเข้ามา
ในห้องวาดเขียน เงาสีส้มของตอนบ่ายทำให้ผมหยุดวาดรูปแล้ว
ไปจ้องหน้าเธอได้บ่อยๆ แต่แหมเมื่อนึกได้ ผมเกลียดปากเธอเหลือใจ
"มองไร...ไอ้ดำ วอนซะแล้ว"  ได้ยินดังนั้นผมก็ก้มหน้าก้มตาวาดรูปๆต่อไป

ราวๆบ่ายสามโมง เราก็เข้าเขตอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ที่หมายแรก
และเป็นที่หมายหลักที่ผมตั้งใจจะมาแก้บนให้พ่อ ผมเดินไปยืนอยู่ที่หน้าทางขึ้นบันไดนาค
เพื่อเก็บภาพสวยๆของวัดพระธาตุลำปางหลวง วัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี และยังเป็นวัด
คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลำปางอีกด้วย เรียกว่าถ้ามาลำปาง ต้องมาวัดแห่งนี้
สิ่งหนึ่งที่เห็นเป็นอัศจรรย์ของวัดนี้ก็คือ ภาพกลับหัวขององค์พระธาตุ
ที่ลอดเข้ามาในผนังของ โบสถ์ที่อยู่ติดกัน ก่อให้เกิดภาพเงาพระธาตุเสมือนจริง
ตกทอดเป็รูปสีชัดเจนบนผ้าขาว จริงๆแล้วก็เป็นหลักการเดียวกันกับกล้องถ่ายภาพ
คือภาพสะท้อนเข้ามาทางเลนส์แล้วมาตกบนฟีล์ม แต่ในทางพุทธศาสนา ก็นับว่า
เป็นเรื่องอัศจรรย์ทีเดียว






เทอมแรกผ่านไป ผมกับบัวเป็นเหมือนคู่อริ คู่กัด แต่ดูแล้วเหมือนกับว่า ผมจะเป็นคู่ซ้อม
ปากซ้อมกำลังให้เธอเสียมากกว่า อันที่จริงถึงแม้ว่าผมจะมีใจอยู่กับน้องอัมที่ผม
อุตส่าห์ลงทุนตามจีบมาได้ แต่ผมรู้ว่าในใจลึกๆ....ผมชอบบัว แต่ไม่กล้าจีบ
แล้วก็เหมือนกับโดนแกล้ง เพื่อนๆจะพยายามให้ผมถูกแกล้งจากเธอเสมอๆ ไม่ว่าชั่วโมง
พละ เรียนยูโด เพื่อนก็จะเชียร์ให้เธอมาซ้อมกับผมเสมอ ไม่มีใครรู้หรอกนะครับ
ว่าผมชอบบัว ที่ชอบที่เชียร์กันไปเพราะเห็นว่าผมโดนซ้อมโดนด่าแล้วมันสะใจ
แถมผมไม่เคยจะตอบโต้ ได้แต่ยิ้มๆหรือบ่นๆ แต่ก็นั่นละครับ
ปากผมก็บ่นอุบอิบๆไป แต่จริงๆแล้วก็อยากให้เธอถีบผมลงพื้นทุกวันแหละ มันปลื้ม...
กระทั่งชักธงชาติ ถึงเวรทีไรก็เป็นผมตลอดด้วยว่าผู้ชายมันมีแค่สามคน
อีกสองคนก็ไม่ชอบแสดงออกด้วยว่าอาจจะติดอาย ส่วนไอ้ผมน่ะ หน้าด้าน
ไม่ต้องเรียกก็เสนอหน้าออกมาคู่กับบัวเธอได้อยู่บ่อยๆ โดยไม่ต้องร้องด่า
จะมีก็แกล้งทำอิดๆออดๆให้เป็นพิธีไปอย่างนั้นแหละ ในใจน่ะหรือ อยู่ยอดเสาธงแล้ว
เวลามีกิจกรรมกิจเวรอะไร ก็ต้องมีผมที่จะต้องคอยตามทำ
ตามอยู่ ร่วมกลุ่มกับเธอเสมอ ทั้งแบบบังเอิญ โดนบังคับ หรือผมตั้งใจก็ตาม

มีวันหนึ่ง ผมปรารภกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งคือไอ้สจ๊วต มันเป็นเพื่อนสนิทของผมที่สุดเพราะ
มันถือวิสาสะมานอนมากินอยู่ที่บ้านผมตลอดปีการศึกษาชั้นม.4 ด้วยว่าทางบ้านมีแต่ป้า
กับอาม่า ที่ไม่ค่อยเข้าใจวัยรุ่น มันก็เลยมาอาศัยกินนอนอยู่ที่บ้านผมด้วยอีกคน
เราจึงสนิทกัน กรรมเวรของผมก็เกิดจากไอ้สจ๊วตนี่แหละ
มันดันไปแอบชอบหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทกับบัวชื่อชมพู่ แล้วความมันคงไปต่อจากตรงนี้
ผมก็ไปบอกกับไอ้สจ๊วตในวันหนึ่งที่เรากำลังเดินไปโรงเรียน
"จ๊วต...มึงอย่าบอกใครนะ กูชอบบัวว่ะ ชอบมากด้วย แต่กูไม่กล้าจีบ"
"เหรอ อืม" มันรับปากผมลอยๆ
บ่ายวันนั้นเอง นางนกยักษ์บัวตูม ปราดเข้ามาจับคอเสื้อผม แล้วถามว่า
"ไอ้ดำ แกจะจีบชั้นหรอ ได้ข่าว วอนซะแล้วไอ่นี่"

โดนมุกนี้เข้าไป ผมมีความรู้สึกขึ้นมาสามอย่าง
อย่างแรก ไอ้ห่าจิกจ๊วต เล่นงานกุแล้วไง
อย่างที่สอง ดีละ รู้ไว้ก็ดีแล้ว กูจะได้ไม่ต้องบอกเอง
และอย่างที่สาม.....ผมยืนจ้องตาเธอทั้งๆโดนรวบคอเสื้ออยู่
ในดวงตาสีน้ำตาลสดใสคู่นั้นคู่นั้น...ผมมองเห็นตัวเองอยู่จางๆ...


รถออกจากเกาะคา พระธาตุลำปางหลวงราวๆบ่ายสี่โมงพวกเราขับวน
เวียนหาทางไป อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนอยู่นาน ด้วยว่าแผนที่ของ
หนังสือที่ได้มา ไม่ค่อยละเอียดดี ขับไป ขับมา คณะของเราจึงผ่าเข้าไป
กลางเมืองลำปาง ในเวลาที่คนลำปางกำลังวุ่นวายอยู่กลับกิจกรรม
ตอนเย็นอยู่พอดี เราจึงได้ไปจอดดูไฟแดง ไฟเขียว ของลำปาง
อยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะผ่านออกมาได้ก็ว่ากันไปเกือบเย็นย่ำ
และหนทางที่ต้องไป ก็ยังอีกตั้ง 80 กิโลเมตร
พอหลุดออกถนนมาได้ผมจึงอัญเชิญวิญญาณนักขับรถแข่ง
มาเข้าสิง ด้วยกลัวว่าจะมืด อีกทั้งไม่คุ้นทาง
ซึ่งเกรงว่าจะหลงและเกิดอันตราย

...วันที่ผมเลิกกับน้องอัม ผมจำได้ดีว่าเป็นวันงานกีฬาสี มีไอ้หนุ่มคนหนึ่ง
มาจากต่างโรงเรียน แอบเอาดอกไม้มาให้อัม
ในขณะที่ผมผมกำลังแบกโต๊ะตัวหนึ่งข้ามสนามกีฬาไปหาน้องอัมพอดี
โชคร้ายของโต๊ะตัวนั้น มันปลิวไปตกใกล้ๆ กับไอ้หนุ่มคนนั้น
เย็นวันนั้นแปลงเกษตรหลังโรงเรียน เต็มไปด้วยเพื่อนๆผู้ชายที่มาปลอบใจผม
ผมนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่เป็นนานสองนาน แล้วมันก็หยุดร้องไปเอง
เมื่อผมเงยหน้าไปเห็นบัวยืนมองอยู่บนตึก...

ที่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อากาศค่อนข้างหนาว แต่ไม่ค่อยมาก
เรียกว่ากำลังดี แต่ที่แน่ๆคือคนไม่เยอะนัก และเตนท์ที่กางไว้นอน
ก็มีเตนท์เดียวเสียด้วย คือเตนท์เรานี่แหละ เมื่อมันโล่งเกินไป
เราจึงเลือกที่จะกางเตนท์ติดกับต้นไม่ที่มีไฟฟ้าส่องสว่างตลอดคืน
เพราะอย่างน้อยก็จะไม่มืดจนเกินไป ค่ำนั้นเรากุลีกุจอช่วยกันกางเตนท์
จากนั้นก็จัดแจงก่อไฟหุงหาอาหาร แล้วก็นะ ไอ้เรื่องที่ยากเย็นที่สุด
ของการทำกับข้ากับปลา ไม่ได้อยู่ที่อีตอนทำ มันดันมาอยู่ที่ตอนก่อไฟ
ปกติสมัยเด็กๆเรื่องก่อไฟก่อเตานี่เป็นเรื่องที่ง่ายๆที่สุด
ของประชาชนคนบ้านนอกอย่างผม เรียกว่าท้าจุดไฟให้ใม้ขีดก้านเดียวนี่
กินหมูมาเยอะแล้ว แต่พอหลังจากหมดยุคอารยธรรมไม้ขีด มุ่งหน้าเข้าหา
อารยะธรรมเตาแก็สและไฟแช็ค การติดเตาในวันนี้จึงเปลืองไม้ขีดเอามากๆ
ร้อนถึงเจ้าหน้าที่อุทยานต้องมาก่อไฟให้ แหม อายเป็นที่สุด เสียชื่อคน
อยุธยาม๊ด...



เทอแรกของชั้นม.5 ผ่านไปอย่างเงียบๆ ด้วยว่าเทอมนั้นผม
ก็กำลังเสียอกเสียใจกับน้องอัมที่หนีไปมีแฟนใหม่
และดูเหมือนบัว ก็จะลดราวาศอกกับผมลงไปเยอะ เธอไม่ค่อยจะพูด
จะจาหาเรื่องหาราวกับผมมากเท่าไหร่ แค่ส่งสายตากันไปกันมาอยู่บ่อยๆ
ในห้องเรียน หรือบางทีก็บังเอิญให้ต้องเดินมาชนกันมุมตึกครั้งสองครั้ง
หรืออย่างมากสุด ก็แค่ปะทะคารมกันบ้างในชั่วโมงศิลปะ ที่ผมหรือไม่ก็เธอ
ต้องวิจารณ์ผลงานของอีกฝ่าย

บทหนึ่งที่จะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของนิยาย
เรื่องนี้ก็เริ่มขึ้นในช่วงม5. เทอมสอง
เมื่อทางโรงเรียนจัดทัศนะศึกษาในวิชาสังคม-ภูมิศาสตร์
ครั้งนั้น เป็นการเดินทางไปทัศนะศึกษาภาคเหนือหกจังหวัด
โดยนักเรียนที่ไปจะเป็นนักเรียนชั้นม.5 ทั้งหมด ร้อยกว่าคน
ทั้งหญิงและชาย หนึ่งในทริปนั้นมีจังหวัดลำปางรวมอยู่ด้วย...

เช้าแรกกับอช.แจ้ซ้อน ผมตื่นมาอย่างเพลียๆ เพราะคงด้วยว่าขับรถมาไกล
ตั้งหกร้อยกว่ากิโล แถมต้องมาทรมานนอนเตนท์ที่มีพื้นราบไม่เท่ากัน
คือมันชันไปทางหัวและลาดไปทางเท้า ตลอดคืนก็ต้องคอยตื่น
ขึ้นมาขยับตัวเลื่อนขึ้นขึ้นไปทางหัวนอน เพราะพอหลับไปสักระยะ ก็มี
อันต้องไหลลงมานอนกองกันอยู่ปลายเท้าบ่อยๆ พอใครขยับผมก็ตื่น
เลยพาให้เช้านี้มันง่วงเหงาอยู่ลึกๆ คิดดังนั้นก็เป็นอันว่า
ไปหาอะไรกินดีกว่าแก้ง่วง คิดแล้วก็เก็บเตนท์คืนเตาแล้วมุ่ง
ตรงไปยังร้านอาหารอุทยานที่เราหมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนขับรถเข้ามา
จริงๆก็ต้องบอกว่าทัวร์ทริปไหนของผมนี่ไอ้เรื่องที่หลับ
ที่นอนนี่ไม่ค่อยเท่าไร่ จะนอนพื้นนอนฟูกไม่มีปัญหา
จะมีปัญหาหนักๆก็เรื่องกิน ดังนั้นไม่ว่าไปที่ไหนแล้ว ลำบากตัว
ลำบากใจไม่ว่า ขออย่าลำบากปากเป็นใช้ได้...

หลังจากอิ่มหนำสำราญดีกับอาหารเช้าแปร่งๆ ที่เป็นข้าวต้มปลาแห้ง
กับใข่ลวกอีกคนละฟอง เราจึงเดินไปถ่ายรูปกันต่อที่น้ำพุร้อน ไฮไลท์
ของสถานที่แห่งนี้ และก็ไม่พลาดที่จะลองไปต้มไข่กับเขาด้วย
น้ำพุร้อนในอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนนี่ มีอุณหภูมิประมาณแปดสิบห้า
องศา ในจุดที่ร้อนที่สุด ส่วนทั่วๆไปก็เฉลี่ยอยู่ราวๆ หกสิบเจ็ดสิบกว่า
ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ ยำใข่น้ำพุร้อน ก็คือเอาไข่ต้มน้ำพุ
ร้อนนี่แหละ มาใส่เครื่องยำๆเข้า ออกมาหน้าตาก็เป็นยำใข่เละๆ
จานหนึ่ง แต่ดูแล้วน่ากินมาก ส่วนชื่อยำใข่น้ำพุร้อนนี่ ตรงเมนูก็มีบอกไว้
ว่าชื่อนี้ได้มาจากหม่อมฯ ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ เป็นผู้ตั้งให้ครั้ง
ท่านมาเที่ยวยังแจ้ซ้อนแห่งนี้ แต่ก็นะ ผมไม่ได้สั่งมากินหรอกไอ้ยำไข่น้ำพุ
ร้อนนี่ เพราะผมพกไข่มาเองตั้งพะเรอ ประเดี๋ยวจะเอาไปลวกกินทั้งโหล
ขืนกินล่วงหน้าไปก่อน มีหวังวันนี้ทั้งวันคงเอียนไข่ตายพอดี...










วันทัศนะศึกษามาถึง รถบัสสองคันพานักเรียนราวๆร้อยกว่าคนออกเดินทาง
ตระเวนไปตามแหล่งโบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
ของห้าจังหวัดภาคเหนือ คือเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง รวมถึงจังหวัดแพร่
พวกเราได้ไปดู ไปเรียนรู้ทั้งเรื่องภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์
สังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่เราผ่านไป วันเวลาล่วงไปเข้าสี่วัน
จนกระทั่งล่องเรื่อยมาถึงลำปาง ผมก็มีหน้าที่ออกลิงออกค่าง คอยร้อง เต้น
เล่นบ้าๆบอๆไปตามเรื่องอยู่ท้ายรถ ตามประสาวัยรุ่นคะนอง แต่ก็นะสาม
สี่วันที่ผ่านมานี้ ผมไม่มีโอกาสจะได้พูดคุยประคารมกับบัวอย่างเคย
ค่าด้วยเธอนั่งทำสวยอยู่หน้ารถ ผมทำหล่อโชว์อยู่หลังรถ
ไอ้ปากที่ร้องเพลง มือทีตีกลองฉิ่งฉาบนั่นมันก็เป็นไปตามอัตโนมัติ
ใจต่างหาก ที่มันไม่ได้อยู่ท้ายรถ แต่มันลอยไปอยู่ที่เบาะนั่งแถวสองแถวสาม
หน้ารถ ผมคอยๆลอบมองไปหน้ารถเสมอเพื่อดูว่าบัว ทำอะไรอยู่
หลับ ตื่น หรือเป็นอะไรหรือเปล่า ครั้งหนึ่งผมเคยออกปากชวนเธอมาร้องเพลง
สนุกสนานด้วยกันที่หลังรถ เธอสวนมาว่า "ไม่ละ เบื่อพวกไร้ประวัติศาสตร์
ไม่มีอารยะธรรม เถื่อน...." อ้าวเป็นงั้นไป แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ไอ้พวกผู้ชายอย่าง
พวกผม มันก็พวกไร้อารยะอยู่แล้ว แต่จริงๆก็นะ ผมก็อยากจะทิ้งอารยะเถื่อนๆ
ไปนั่งจ้องหน้า หาอารยะะธรรมดีๆกับเธออยู่เหมือนกันแหละวะ

คืนนั้นประมาณห้าหกทุ่ม หลังจากเดินชมเมืองลำปางเป็นที่เรียบร้อย
นักเรียนและครูก็แยกย้ายกันเข้านอน ส่วนผมกับไอ้แจ๊ค เพื่อนสนิทคนหนึ่ง
จำได้ว่าด้วยความที่มันยุงเยอะ ผมจึงนอนกันไม่หลับ เลยออกไปเดินตลาด
โต้รุ่งแถวๆในเมือง บังเอิญเดินผ่านแผงขายแอ็บเปิ้ล ผมก็เลยซื้อมา
สองสามลูก เดินกินกันมาเรื่อยๆ จนกลับที่พัก ชะรอยบุญคงมีทำอยู่บ้าง
บัวกับเพื่อนอีกคนเดินสวนมาในทางผมพอดี ไวเท่าความคิด ผมหยิบ
แอ็บเปิ้ลผลสุดท้ายส่งให้บัว แล้วก็บอกว่า "ซื้อมาฝากน่ะ อร่อยนะ"
เธอรับไป ไม่ได้พูดอะไร แค่นั้น แล้วเราก็เดินสวนกันไป....ต่างคนต่างเดิน


สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในการดำรงชีวิตเป็นมนุษย์มาเรื่องหนึ่งก็คือ การได้แช่น้ำร้อน
จำได้ว่าอีตอนไปร่ำไปเรียนที่ออสเตรเลียนี่ เป็นเวลาที่ผมชอบมากที่สุด 
เวลาเรียน หรือช่วงทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ผมก็จะจัดแจงเปิดน้ำร้อนลงอ่าง 
หย่อนลูกสบู่ที่ไอ้ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Bath bomb ลงไปหนึ่งลูก 
ไอ้ลูกสบู่ที่ว่า มันจะกลายเป็นกลิ่นต่างๆ เช่นกลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ 
กลิ่นกาแฟอะไรไปตามเรื่อง และก็จะให้พรายฟอง เยอะแยะเหมือนในโฆษณา 
เวลาลงไปแช่แล้วนั้นก็ไม่ต้องห่วง หนึ่งชั่วโมงเป็นต้นไปทุกครั้ง 
แล้วที่แจ้ซ้อนนี่เขาก็มีบริการแช่น้ำร้อน มีหรือผมจะพลาด 
จัดแจงจ่ายสตาง 50 บาท ถอดเสื้อผ้ากองไว้ แล้วลงไปแช่ได้
ตามอัธยาศัย แหม เสียอย่างเดียวไม่มีไอ้ลูกสบู่ แต่ก็นะ ความสุขที่สุดของ
ทริปนี้ก็อยู่ที่ตรงนี้แหละครับ




เช้าวันนั้นพวกเราต้องออกเดินทางจากที่พัก ไปยังสถานที่ทัศนะศึกษาแห่งต่อไป
ก็คือ ภูเขาไฟดอยผาดอกจำปาแดด อ้าว อย่าพึ่งงง หรือสงสัยอะไร ประเทศไทย
มีภูเขาไฟครับ แต่เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทไปแล้ว ที่ลำปางนี่ก็มีดอยผาดอกจำปาแดด
นี่แหละเป็นลูกหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่มีความรู้เรื่องธรณีวิทยาหรือ ภูมิศาสตร์ใดๆ ดอยผา
ดอกจำปาแดดนี่ก็แค่ภูเขาเตี้ยๆลูกหนึ่งที่ทอดตัวอยู่ริมถนน สายลำปางแม่เมาะนี่เอง

"เอ้าทุกคน เดินขึ้นไปยอดปล่อง แล้วสังเกตสภาพภูมิศาสตร์รอบๆตัวด้วยนะ
จดมาให้ละเอียดทั้งดิน หิน ทราย ต้นไม้รอบๆ แบ่งกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองคน
ประเดี๋ยวครูจะจัดแบ่งให้ ตามเลขที่นะ"

ไม่รู้ว่าเป็นบุญของผมที่ทำมามากมาย หรือบาปที่บัวเธอทำไว้ เธอกับผมได้จับคู่
กันเป็นบัดดี้ เดินขึ้นเขา ผมแอบดีใจลิงโลดออกนอกหน้า
ส่วนเธอก็ทำหน้าเบื่อๆให้เพื่อนผู้หญิงด้วยกันเห็น และก็หันมามองหน้าผม
แล้วเธอก็เบ้หน้าใส่พร้อมพูดว่า "ซวยจริงๆ เดินดีๆล่ะแก ตกเขาตายชั้นไม่ช่วย
แกนะ ภาระชั้นจริงๆแกนี่..." แต่ไอ้ผมน่ะมันหน้าด้าน อยากด่าก็ด่าไป
แค่ผมบอกได้คำเดียว่า "จ้ะ" แล้วก็มีเพียงเสียงกรีดร้องไชโยในใจลึกๆ....


เก้าโมงปลายๆ เราออกเดินทางจากน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน ล่องลงกลับมายัง
ตัวอำเภอแจ้ซ้อน เพื่อไปตามหาวัดศรีหลวงแจ้ซ้อน วัดโบราณที่มีความเก่าแก่
ราวๆหลายร้อยปี ซึ่งมีว่าไว้ในนิตยสาร อสท ฉบับที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมา
ลำบากอยู่ตามป่าตามเขาที่ลำปางนี่แหละ
ใช้เวลาขับรถราวๆ ไม่เกินสิบห้านาทีจากอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน เราก็เข้ามาถึง
วัดศรีหลวงแจ้ซ้อนจากการถามทางชาวบ้านไปเรื่อยๆ หลงบ้าง เลี้ยวผิด
เลี้ยวถูกบ้าง ก็นะ ความสนุกของการท่องเที่ยวมันก็อยู่ตรงนี้แหละครับ
วัดศรีหลวงแจ้ซ้อนเป็นวัดเก่าโบราณมีอายุกว่าร้อยปีพันปีตามประวัติ



ศิลปะของวัดนี้เป็นศิลปะของฝ่ายล้านาชาวเหนือ รูปรอยปูนปั้น
และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เต็มไปด้วยความสวยงาม ตามความเชื่อของผู้สรรค์สร้าง
ผมเดินเก็บภาพไปเรื่อยๆ ด้วยความสุขที่ได้มาเยือนวัดแห่งนี้ และไม่ลืมที่จะ
เข้าไปในตัวโบสถ์เพื่อขอพรให้ได้มีโอกาสมาเยือนอีกครั้ง หากยังมีชีวิตอยู่







ภูเขาไฟดอยผาดอกจำปาแดดนี้ เป็นเพียงภูเขาไฟลูกย่อมๆไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ได้เตี้ย
เสียจนใครๆก็เดินขึ้นไปได้ จากแรกๆที่เดินเกาะกลุ่มกันขึ้นไปพร้อมๆกัน พวกที่ออกเดินเร็วๆ
ก็พบเห็นนั่งหอบถอดใจกันอยู่กลางทางหลายคู่ ไอ้คู่ของผมกับบัว ตอนแรกเธอก็เดินนำหน้า
คงเป็นเพราะรังเกียจรังชังที่จะเดินไปกับผม เธอจึงออกเดินลิ่วๆ ทิ้งห่างผมไปหลายสิบเมตร
แต่พอถึงกลางๆทาง ผมก็เห็นเธอเดินไปหยุดหอบไปเสียบ่อยๆ
แล้วพอผมเดินแซงหน้าเธอขึ้นมาได้ ผมก็เดินดุ่มๆทิ้งห่างเธอไปหลายสิบเมตรแทน
จนกระทั่งเดินมาเกือบๆจะถึงปล่องยอด ผมจึงหันหลังกลับไปดู เห็นเธอทำหน้าซีดๆ
เหมือนจะเป็นลม ไอ้ความที่เราเป็นผู้ชาย ผมก็ตัดสินใจเดินย้อนลงไปที่กลางทาง
"เอ้า มีอะไรให้ช่วยไหม" ผมเอ่ยปากถามเธอ
"ไม่ต้อง ไปเลย เดินไปได้เลย..." เธอพูดแบบประชดๆ
"ตามใจ..." พูดจบผมก็กอดออกเดินหน้าขึ้นมา
แต่ก็นะ ผมเหลียวไปเห็นเธอยืนทำตาแดงๆ อยู่ที่เดิม ผมก็จึงต้องเดินย้อนกลับลงไป
"ตกลงจะให้ช่วยไหม" ผมถามอีก แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร ผมจึงมองไปรอบๆตัว
เห็นอีกหลายๆกลุ่มอยู่ห่างไปอีกไกลโขกว่าจะมาถึง

ผมจึงยื่นมือไปข้างหน้า เพื่อหวังว่าจะได้เป็นช่วยจูงเธอเดินขึ้นดอยไปด้วยกัน
ไอ้เวลานั้นใจผมเต้นโครมคราม มากกว่าใจเต้นเพราะเหนื่อยเดินขึ้นดอยเสียอีก
เพราะแค่ถ้าได้จับมือกันในครานี้โลกนี้ทั้งโลกมันคงเป็นสีชมพู และไม่มีอาณาบริเวณใด
ที่ความสุขจะเดินทางไปไม่ถึงแล้ว...

"ไม่ละ อายเขา..." แล้วเธอก็คว้าท่อนไม้ยาวสักคืบหนึ่งส่งปลายมาให้ผม
ตอนนี้มีเสียงสวรรค์ในใจของผมถล่มดังโครมคราม
ผมเอื้อมมือไปจับอีกปลายของไม้ มือของเราทั้งสองคนอยู่ห่างกันแค่ปลายเล็บแตะ
ผมจูงเธอเดินขึ้นดอยไปอย่างช้าๆ และในเวลานั้น พื้นดินที่ชัน กลับกลายเป็นที่ราบ
ต้นไม้และบรรยากาศรอบๆกลายเป็นสีชมพู ผมหันหลังไปมองหน้าบัว
ที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ เราสบตากันอย่างอายๆ ผมเห็นหน้าเธอแดงขึ้นมา
อย่างเห็นได้ชัด ระยะทางแค่ไม่กี่ร้อยก้าว ในตอนนั้น ผมอยากให้มันไกลเป็น
สิบเป็นร้อยกิโล เพื่อที่จะได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า "ความรัก" นานๆ


"เฮ้ยๆ ดู...โห หวานกันเลยนะมึง เฮ้ยๆ เกินหน้าๆ
มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์โรงเรียนแล้ว"
เจ้าเดิม ไอ้พวกชอบทำลายบรรยากาศและโอกาส
ก็เริ่มเห่าหอนขึ้นมาทันทีที่เห็นผมกับบัวจูง "ขอนไม้" เดินขึ้นดอย
แล้วก็เป็นไปตามคาด เธอรีบปล่อยขอนไม้ทันที เมือถึงยอดดอย
เธอปล่อยมือ แล้วเราก็ยืนมองตากันสักวินาที แต่ก็ไม่มีคำพูดอะไร
ออกจาปากของกันและกัน แล้วเธอก็เดินดุ่มๆหายไปในป่า
ทิ้งให้ผมยืนใจลอยอยู่คนเดียว
หลังจากเหตุการณ์นั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีกทั้งวัน
จนกระทั่งลงจากดอยมาขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ


เสร็จจากชื่นชมความงามอันเป็นทิพย์ที่วัดศรีหลวงแจ้ซ้อนจนอิ่มเอมหัวใจแล้ว
พวกเราก็บ่ายหน้าเข้าตัวเมืองลำปางเพื่อไปเที่ยวยังตัวเมือง ทิ้งให้แจ้ซ้อนกลายเป็น
ความทรงจำติดตรึงไว้ในหัวสมองอีกเรื่องหนึ่ง...
ถึงในเวียงลำปาง เราก็จัดแจงเข้าที่พักก่อน อาบน้ำอาบท่า เปิดแอร์เย็นๆ
ลูกทริปสองคนที่มาด้วยกัน เมื่อโดนน้ำโดนแอร์ ประกอบกับมานอนเอนหลังบนที่นอนนุ่มๆ
ที่ต่างจากเตนท์แข็งๆเมื่อคืน ก็ทำท่าจะไม่ยอมออกไปไหนเสียแล้ว
ด้วยว่าความง่วงเข้าคุกคาม แต่แล้วก็ไม่มีใครยอมจะหลับ เพราะเหลือเวลาเที่ยวลำปางอีกเพียง
แค่วันเดียวแล้ว เราจึงปลดพันธนาการจากความง่วง ออกรถตระเวนเทียวกันต่อไป

ที่แรกที่ผมไปแวะ ก็เป็นสถานีรถไฟประจำจังหวัดลำปาง ก็อย่างที่ว่า ด้วยความผูกพันกับระบบ
รถไฟคลาสสิคของไทยที่ผมใช้บริการมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน
จนโตขึ้นมาครึ่งคน ดูเหมือนรถไฟไทยแก่และเก่าลงไปอีกครึ่งคน
และดูราวกับคนแก่ใกล้ตาย ผมจึงต้องมาดูให้เห็นกับตา
เมื่อผมไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆทุกครั้ง ราวกับว่าต้องมาเยี่ยมญาติป่วยๆ
เพื่อดูใจกันก่อนที่จะตายจากกันเสมอ







เมื่อต่างคนต่างเดินลงจากยอดดอยผาดอกจำปาแดด ผมกับบัวก็ไม่ได้มีโอกาสจะพูดจากัน
อีกเลย และดูเหมือนกับว่า เธอจงใจจะไม่มอง ไม่เห็นผม ออกจากดอยผาดออกจำปาดแดด
ความรู้สึกหนึ่งที่ผมมองดูยอดภูเขาไฟแห่งนั้น สิ่งที่รับรู้ได้ในใจลึกๆก็คือ วันเวลาที่ดีที่สุด
แห่งความรักได้พ้นผ่านออกไปแล้ว โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่า การได้สบตากันนิ่งๆ
และปราศจากคำพูดจาใดๆ แต่สิ่งที่ผมรับรู้ได้ก็คือ ความอบอุ่นที่เปี่ยมสุขในดวงตาใสๆคู่นั้น
และรอยยิ้มจางๆที่ผมแอบเห็นก่อนที่เธอจะเดินลับตาไป
คืนนั้นเมื่อเราเข้าที่พักอีกแห่งหนึ่งที่จังหวัดลำปาง ผมก็แอบออกไปเดินเลียบๆเคียงๆ
แถวที่พักของนักเรียนหญิงเพื่อดักเจอบัว
กะว่าจะอาศัยความโรแมนติกในคืนหนาวของลำปางเข้าช่วย
และคืนนี้ผมจะถามบัวให้รู้เรื่องไปเลยว่า ตกลงเราเป็นอะไรกัน
เพราะผมไม่ได้อยากเป็น ไอ้ดำคู่ซ้อมของเธอ แต่อยากเป็น ไอ้ดำคู่ใจของเธอมากกว่า
ยืนเก็กหล่ออยู่สักพัก ก็มีเพื่อนของบัวคนหนึ่งนำพาหายนะวาตะภัยวิบัติมาสู่ผม
"เฮ้ย แก แหม เค้าลือกันให้ทั่ว แกเดินจูงมือกับไอ้บัวขึ้นดอยหรือวะ ฮ่ะๆๆๆ สมน้าหน้าไอ้บัวมัน
เกลียดตัวกินใข่ว่ะพวกเรา" พูดจบชมรมผู้หญิงสาละวนก็หัวเราะกันครื้นเครง ทิ้งให้ผมยืนงงกับคำลือ
เหล่านั้นว่า "เรา" ไปจูงมือกันตอนไหน เราจูง "ขอนไม้" กันต่างหาก
ไม่เกินสิบนาที ผมเห็นบัวเดินดุ่มๆออกมา
พร้อมกับตาแดงๆและหน้าเครียดๆ เธอไม่ได้พูดอะไร แต่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม
จากนั้นก็เอาแอ็ปเปิ้ลที่น่าจะเป็นลูกที่ผมส่งให้เธอเมื่อคืน
ขว้างใส่ผม เดชะบุญเธอคงไม่ได้เอาตาย แอ็บเปิ้ลผลนั้น
มันจึงเข้าเป้าที่หน้าอกของผมดังบึ้ก และก็กลิ้งลงไปกองอยู่บนกองเศษใบไม้ข้างทาง

"เธอไปเที่ยวบอกคนอื่นหรอว่าเราเดินจูงมือกัน"
เธอตวาดถามผม
"เปล่านี่ มีอะไรหรือเปล่า"
"มันไม่มีวันเริ่มหรอกนะไอ้เรื่องระหว่างเธอกับฉันน่ะ"
พูดจบเธอก็เดินหันหลังจากไป
ทิ้งให้ผมกับแอ็บเปิ้ลลูกนั้น กองอยู่บนพื้นกับเศษใบไม้
ข้ามคืนนั้นไปอย่างหนาวเหน็บ กลางเมืองลำปาง



เมื่อเป็นความรัก ที่ไม่อาจเผยใจ เก็บมันเอาไว้ เก็บมันเอาไว้ ไม่อาจยอมให้เธอรู้ เมื่อใดที่ลมพัด ช่วยผ่านมาหน่อยได้ไหม อยากให้คืนวัน ที่ดีเหล่านั้นได้หวนมา เมื่อใดที่ลมหวน ที่เธอจะกลับมาหา เฝ้ารอเวลาที่ลมแห่งรักนั้น จะพัดพา มาอีกครั้ง
ท่อนหนึ่งจากเพลง
"ยามเมื่อลมพัดหวน"







วัดศรีชุม เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมพม่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างโดยคหบดีค้าไม้ชาวพม่า
ชื่ออูโย ที่ติดตามเจ้านายชาวอังกฤษเข้ามาทำไม้ในประเทศไทย เมื่อตนเองมีฐานะดีขึ้น
จึงอยากจะสร้างวัดไว้ให้เป็นที่ระลึกถึงบ้านเกิดในพม่า จึงได้จัดสร้างวัดศรีชุมขึ้นมา
จุดเด่นของสถาปัตกรรมของวัดนี้ก็เห็นจะเป็นตัวโบสถ์ตัววิหาร ที่มีลัษณะเป็นวัดพม่าเต็มตัว
ใครที่อยากเห็นว่าศิลปะพม่าเป็นอย่างไร ก็ไม่ต้องไปไหนไกล มาลำปาง วัดศรีชุมก็ได้ครับ




หลังจากคืนของแอ็ปเปิ้ลตกพื้นผ่านพ้นไป ไอ้ความสนุกของผมมันก็เหือดแห้งลงไป
ราวกับว่า ในโลกนี้มีผมอยู่คนเดียว และไม่ยินดียินร้ายกับเสียงที่ดังอึกทึกอยู่รอบข้างตัว
กลุ่มฉิ่งฉาบในวันหลังๆ จึงไม่มีผมปะปนอยู่ด้วย ผมเปลี่ยนใจแยกตัวออกไปนั่งกลางๆรถ
เพื่อหลบเสียงอันวุ่นวายออกไป แต่ก็ไม่ไกลมากจนไม่สามารถมองเห็นบัวได้ในระยะสายตา
อีกสองสามวันที่เหลือจากสิบกว่าวันของการทัศนะศึกษา ผมกับบัวเหมือนกับคนไม่รู้จักกัน
เดินสวนกันก็เดินสวนไปเฉยๆ ถ้าต้องเดินมาเจอกันสองต่อสอง ดูเหมือนเธอเลือกที่จะเดินกลับ
หลังหันไปทางเดิมเสียเฉยๆ หากต้องเจอหน้าผมแบบไม่ได้ตั้งใจ

สองสามเดือนหลังจากกลับจากทัศนะศึกษา
ไม่มีแม้แต่คำพูดสักคำออกมาจากปากของผมกับบัว
เราเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ โดยไม่พูดเรื่องของกันและกันกับใคร
ที่แย่กว่าคือ เพื่อนสนิทอย่างสจ๊วต ก็มีอันต้องย้ายการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้
ไปเรียนต่อทางใต้ ผมจึงไม่รู้ว่าจะไปถามอะไรหรือปรึกษาอะไรจากใคร
จนกระทั่งสุดท้ายก็ได้ชมพู่ นี่แหละมาเล่าสรุป
เหตุที่เธอโกรธผมอย่างเอาเป็นเอาตายว่า..

"ไอ้บัวมันโกรธแก ที่แกเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่า แกได้เดินจูงมือกันขึ้นดอย
มันคงอาย เพราะด่าแกไว้เยอะ แล้วก็เกิดจะเปลี่ยนใจมาเป็นแฟนกัน"

"ชั้นเล่าให้ใครฟัง แค่สองคนเองนะ"

"ก็นั่นแหละ สองเป็นสี่เป็นแปด จนกระทั่งกลุ่มเพื่อนไอ้บัวที่มันไม่ชอบแกน่ะมันรู้
มันก็ไปบอก ไปล้อไอ้บัวว่าสุดท้ายก็เสียคำพูด กลืนน้ำลายตัวเอง..."

"แล้ว บัวก็โกรธชั้นเนี่ยนะ...เบื่อโลกว่ะ"

สรุปสุดท้ายเทอมนั้นผมก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลามันผ่านไปอย่างว่างๆ ผมก็เลยไปเที่ยว
เล่นจีบน้องนู่นนี่ไปตามทาง ติดบ้างไม่ติดบ้างตามประสาคนหน้าดำ และไม่หล่อ
แต่ผมรู้ว่า ในอาณาบริเวณของโรงเรียน จะมีสายตาคู่หนึ่ง คอยสบตาผมเสมอ
เมื่อผมเดินไปกับผู้หญิงคนใดก็ตาม และสายตานั้นจะบอกผมเสมอว่า
ทุกอย่างยังเป็นความทรงจำดีๆ แม้มันไม่ได้เริ่มต้นแต่จบลงไปแล้ว...






เย็นวันนั้นกิจกรรมถ่ายภาพของเราเริ่มขึ้นกันแบบจริงๆจังๆที่แถวสะพานรัษฎาภิเศก
สะพานข้ามแม่น้ำวัง ที่เป็นแม่น้าสายเดียวที่พาดผ่านใจกลางจังหวัดลำปาง
ด้วยว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแห่งเดียวที่ เหลือรอดจากการทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตร
ในยุคของสงครามโลกครั้งที่สอง
สะพานนี้สร้างขึ้นครั้งสมัยรัชกาลที่ห้า ในช่วงที่พระองค์ครองราชย์ครบ 25 ปี
นับว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่มากๆแห่งหนึ่ง ตัวสะพานเดิมไม่มีโครงร่างเก่าหลงเหลืออยู่แล้ว
สภาพในปัจจุบันเป็นสภาพที่ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อปี 2460
เป็นทรงสะพานโค้งๆแบบสะพานรถไฟหลายๆแห่ง
ทั้งสองด้านของข้างสะพาน มีสะพานไม้เล็ๆกขนาบข้างให้ผู้คนเดินเท้า
ได้อาศัยสัญจรข้ามแม่น้ำไปมาได้ เราจึงปักหลักมาเก็บภาพและชมพระอาทิตย์ตกแม่น้ำ
จนกระทั่งแสงสุดท้านเลือนหายไป และความืดของราตรีเข้ามาแทนที่
ลมหนาวของต้นเดือนมกราคมที่โชยมาเบียดร่างกายของผมในคืนนั้น
มันพาให้ผมคิดลมหนาวของคืนแอ็บเปิ้ลตกพื้น ที่เหมือนกันราวกับว่าเป็นคืนเดียวกัน
และวันนี้เป็นวันครบรอบ...








เทอมแรกของ ม.6 เข้ามาถึงเหตุการ์ณระหว่างผมกับบัวกลายเป็นดีขึ้น แต่มันกลายเป็น
การดีขึ้นแบบไม่อยู่ในสายตาคนอื่น ผมจำไม่ได้ว่าผมไปทำอะไร ทำให้บัวยอมกลับมาพูดกับผม
แต่มันมีภาพๆหนึ่ง คือผมไปนั่งอยู่ตรงข้ามบ้านบัว ซึ่งผมนั่งอยู่คนละฟากถนน ผมนั่งอยู่จนครึ่ง
จนค่อนวัน ราวกับว่าขืนเธอไม่ออกมาให้ฉันพบ ฉันก็จะทู่ซี้นั่งอยู่จนละลายตายแห้ง
กลายเป็นผีอยู่ตรงหน้าบ้านเธอนั่นแหละ และจำได้ว่าผ่านไปค่อนเย็น เธอถึงยอมออกมา
คุยกับผม และสุดท้ายก็เหมือนเราจะตกลงกันได้ว่า เราจะคบเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ไม่เป็น
แฟนกัน และถ้าอยู่ในโรงเรียน เราจะเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน โกรธกันตลอดไป
แต่เธออนุญาติให้ผมมาพบมาเจอได้ในวันเสาร์อาทิตย์นอกโรงเรียน
จะได้ไม่มีใครเห็นใครรู้ อืมผมว่ามันก็ยังดี แต่ผมว่าผมไม่เข้าใจผู้หญิงว่ะ 

ในช่วงปีสุดท้ายของชั้นมัธยมผมก็ยังไปพบไปหา 
รวมถึงโทรไปพูดไปคุยกับเธอแทบทุกคืนที่ผมว่าง 
ตู้โทรศัพท์แถวบ้านแบบหยอดเหรียญสมัยก่อนนั้น จะมีผมเข้าไปสิงอยู่อย่างน้อยๆ
ก็ครึ่งชั่วโมงทุกคืน ที่ตลกมาที่สุดคือผมเคยต้องเอากระดาษออกมาจด เป็นหัวข้อๆ
เอาไว้ว่า วันนี้ที่โทรไปหา ผมจะคุยอะไรกับเธอดี เพราะถ้าไม่มีอะไรจะคุยเธอก็จะวางสาย
แล้วผมจะไม่ได้คุยกับเธออีกตั้งหนึ่งวัน ดังนั้นผมจึงต้องจดๆนึกๆทุกเย็นว่า 
วันนี้จะคุยเรื่องอะไรดีเพื่อไม่ให้มันน่าเบื่อและน่ารำคาญ เพราะเสียงปลายทางที่ผมได้ยิน
แม้ว่ามันจะเป็นเสียงบ่นเสียด่าเสียงชวนทะเลาะ เสียงเตือนเรื่องเรียน เรื่องผู้หญิงที่ผมไปจีบ
มันก็เป็นเสียงที่ผมปราถนาจะได้ยินทุกคืนก่อนนอน
เทอมสองของชั้นมัธยมหกคืบเข้ามา เวลาแห่งกาจากลาก็เข้ามาถึงเหมือนกัน ทุกๆคนตั้งหน้า
ตั้งตาอ่านหนังสือเอาเป็นเอาตายเพื่อเตรียมสอบ ส่วนผมก็ยังหลบหลีกการอ่านหนังสือ
และการเรียน ไปแอบนั่งวาดภาพเสก็ตภาพตามประสาคนรักศิลปะสายลมและแสงแดด
จนกระทั่งวันหนึ่งครูสอนวิชาภาษาไทย อดรนทนไม่ไหวกับอาร์ตตัวลูกแบบผม แกจึงส่ง
นังนกยักษ์ตัวนั้นก็คือบัวมาลากผมขึ้นไปเรียน จำได้ว่าบัวเดินดุ่มๆเข้ามาในห้องศิลปะ แล้วก็มาล้ม
กระดานหมากฮอสของผมกับไอ้ชาติเพื่อนเกษตรห้องสี่ทิ้ง จากนั้นก็พูดแค่ว่า

"ไปเรียน" จากนั้นก็ชี้มือไปทางห้องเรียน
ครั้งนั้นแหละมั๊งเป็นครั้งเดียวที่บัวยอมเอ่ยปากพูดกับผมในโรงเรียนต่อหน้าคนอื่น

หลังจากวันนั้นผมจะเห็นตาถมึงทึง กวาดมาฟาดหัวผมเสมอเวลาที่ผมนั่งคุยเป็ดห่านอยู่หลังห้อง
แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้โดดเรียนอีกเลยตลอดเทอม แต่กลายเป็นคนรักเรียนขึ้นมาเสียเฉยๆ

หลังจากพ้นเทอมชั้นม.6 จบการศึกษา ช่วงเวลานั้นวันสุดท้ายผมก็จำไม่ได้อีกแหละว่าผม
ได้เจอกับบัวก่อนจากกันหรือเปล่า แต่ที่รู้คือเธอสอบเอ็นทรานซ์ติดและได้ไปเรียนอยู่ที่
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ 
เราติดต่อกันด้วยจดหมายอยู่สองสามปี แทบทุกหนึ่งเดือน
ผมจะเขียนจดหมายหาเธอหนึ่งฉบับ ใจความก็คงเป็นเดิมๆเรืองสารทุกข์สุขดิบ
บางทีเธอก็ยังเคยแนะนำเพื่อนหญิงให้ผมรู้จักทางจดหมายเสียด้วย จนแล้วจนรอด
พอพ้นปีสามของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เธอก็มีจดหมายมาว่าเธอคบอยู่กับรุ่นพี่
ที่คณะ และขอร้องไม่ให้ผมส่งจดหมายไปหาเธออีก ไอ้ด้วยความที่ผมก็คงเลือนๆ
ไปว่าเคยชอบเธอ และก็คงมีแฟนเป็นชิ้นเป็นอันอยู่ด้วยแล้วในขณะนั้น การติดต่อ
ระหว่าเราจึงขาดหายไป จดหมายฉบับสุดท้ายก็คงปลิวหายไปตามสายลมและเวลาของมัน
และผมก็ไม่เคยจำได้ว่า ใจความในจดหมายฉบับสุดท้ายนั้น เขียนว่าอะไร...

สิ้นปีสี่ผมยังคงเรียนไม่จบ แต่ได้ข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่าเธอเรียนจบกลับมาอยู่กรุงเทพแล้ว
และกำลังหางานทำ ผมตัดสินใจไปที่หน้าบ้านเธออีกครั้งเพื่อไปดักพบ แต่คนแถวนั้นก็
บอกว่าเธอย้ายบ้านไปแล้ว ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ผมก้ใช้ความเพียรเดินหาอยู่อีกสามสี่วัน
ตามคำบอกของคนแถวบ้านเก่าของเธอ แต่คงเป็นเพราะบุญกรรมเราหมดต่อกันตั้งนาน
มาแล้ว ผมจึงไม่เคยรู้ว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนของโลก

วันสุดท้ายของการออกค้นหา ผมกำลังจะเดินกลับไปขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
ด้วยจิตใจที่ท้อและห่อเหี่ยว คิดว่าชาตินี้คงมีกรรมกันมาแค่นี้
ผมตัดสินใจเลิกค้นเลิกหา
แต่ขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ฝั่งหนึ่งของถนนตรงไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อจะกลับบ้าน
อีกฝั่งหนึ่งผมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แม้แค่แว่บเดียวที่ผมเห็นหน้าผมก็จำได้ทันทีว่า
ผมหานางนกยักษ์ของผมเจอแล้ว
เธอเดินอยู่อีกฝั่งฟากถนน ด้วยความดีใจ 
ผมตัดสินใจจะข้ามไปหาเธอ แต่แล้วเมื่อผมข้ามไปได้
ครึ่งทาง ผมก็หยุดยืนอยู่ตรงเกาะกลางถนนนั้น ไม่ได้ข้ามไปต่อ เพราะผมหาเหตุผลดีๆสักข้อเดียว
หรือเรื่องจะคุยกับเธอสักเรื่องเดียวก็ไม่มี ที่สำคัญ กับผม เธอคงลบเรื่องราวในอดีตจบไปแล้ว
ก็คงจะมีแต่ตัวผมเองนี่แหละที่ไม่อยากจะให้มันจบ แต่เมื่อนึกถึงที่เธอพูดว่า ระหว่างเรา
มันคงไม่มีวันเริ่ม ผมจึงได้แต่ยืนอยู่ที่เกาะกลางถนนนั้น ดูเธอเดินหายไปลับตา 
ผมยืนเดียวดายอยู่กลางถนนนั้นได้สักสิบนาที ภาพในความทรงจำของผมผุดพราย
ขึ้นมาเป็นภาพดีๆในเวลาของอดีต แล้วผมก็ตัดสินใจหันหลังเดินกลับ
ปล่อยให้เวลามันหยุดเดินอยู่แค่ยอดดอยผาดอกจำปาแดดตลอดกาล



เช้าวันสุดท้ายของลำปาง เราตื่นขึ้นมาพร้อมอากาศที่หนาวจับใจ นอกห้องพักเต็มไปด้วย
ไอหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วทุกหนทาง พวกเราเก็บข้าวเก็บของเข้าไว้ในรถ เพื่อเตรียมเดินทางกลับ
กรุงเทพ ช่วงที่เดินทางออกมาสักประเดี๋ยวประด๋าวไม่ไกลจากที่พัก เราก็ได้พบกับภาพสุดท้าย
ของลำปางที่ราวกับว่า ลำปางจัดสร้างภาพลาจากเอาไว้ให้ได้เป็นภาพประทับใจ 
ภาพที่เห็นคือภาพแม่น้ำวังที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ 
แสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเช้าทาบทาลงบนพื้นน้ำและพื้นดินของเมืองลำปาง 
ผมรีบเก็บภาพเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พระอาทิตย์และหมอกจะเลื่อนเลยไป และสุดท้าย
เมื่อได้เวลา ผมก็ค่อยๆบอกลาแม่น้าวัง บอกลาลำปาง บอกลาความทรงจำที่ฝังดินอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
ในเมืองลำปางแห่งนี้ในใจ ก่อนที่จะนึกฝันเอาว่า วันใดวันหนึ่งกลางสะพานรัฐฎาภิเษก 
ผมคงมีโอกาสได้เจอนังนกยักษ์คนนั้นอีกสักครั้ง ในฐานะเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย 
ในวันที่ลมแห่งรักพัดพาผมกลับมาที่ลำปางอีกครั้ง...











.......................................................

แด่นังนกยักษ์ เพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งสมัยมัธยม
ขอบคุณลุงวาณิช ที่ให้แรงบันดาลใจจนผมเขียนมาจนจบ
ขอบคุณเพลงยามเมื่อลมพัดหวน ที่พัดพาความทรงจำดีๆมาให้
ขอบคุณน้องห้า ที่เป็นเพื่อนพาไปลำปาง
ขอบคุณภรรยาที่เข้าใจว่ามันเป็นอดีต และปัจจุบันผมมีเมียแล้ว
ขอบคุณสจ๊วตปัจจุบันยังกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกและรอดตายมาจากยะลา
ขอบคุณเพื่อศ.ว 6/32 ในอดีตทุกคน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด