เชียงใหม่แบบรีบๆ



สิบสี่ปีที่แล้วผมเคยมาเชียงใหม่ครั้งหนึ่ง
คราวนั้นที่มาก็ให้ตรงกับวันสงกรานต์พอดี
ตอนนั้นยังเป็นละอ่อนน้อยอยู่ คิดอะไรก็คิดเร็ว
ทำอะไรก็ทำเร็วเสียจนขาดความไตร่ตรอง
เรียกว่าพอคุยกันว่าอยากมาเชียงใหม่
ก็มากันเลย ขับรถขับรามาเลย ไม่ต้องจองโรงแรมหาโรงนอนใดๆทั้งสิ้น
มาจัดหากันอีตอนถึงเชียงใหม่นี่แหละดี 
หารู้ไม่ว่าจะหาที่นอนสักเตียงหนึ่งในวันสงกรานต์นี่ มหันต์ นะครับ
เที่ยววนๆไปมาอยู่ในตัวเมืองสองรอบก็ปาเข้าไปครึ่งวัน แล้วกว่าจะได้ที่หลับที่นอนก็
เข้าไปเย็นย่ำ แถมที่พักก็ไม่ได้เอาวิวเอาทิวทัศน์สัมผัสดอยอะไรกับเขา
นู่น ไปนอนอยู่หลังเรือนจำเชียงใหม่นู่น วิวหน้าต่างก็มีกำแพงตันๆแทนทิวเขา
กับลวดหนามสามสี่ขดแทนไอหมอกยามเช้า จำได้ว่าเพื่อนด่ากันระงมไปงานนั้น

สิบกว่าปีผ่านมาก็อีกแล้ว ผมไปเชียงใหม่แบบรีบๆอีกแล้ว
งานนี้น้องชายหมายเลขห้าออกปากชวนกันไปหาของป่าแถวๆทางเหนือมาขายฝรั่ง
อั้งม้อ ไอ้ครั้นจะเดินๆเทียวหาแถวๆสนามหลวงมันก็จะออกแนวมักง่ายไปสักหน่อย
เพราะแถวนี้ Lonely Planet คงแจ้งไว้แล้วหละว่ามันเป็นย่านช็อปปิ้งของไทย
จะหาของป่ามาขายทั้งที งั้นคงต้องหาอะไรที่มัน Amazing จริงๆแล้วหละ
ว่าแล้วก็จัดแจงแพ็คกระเป๋าไปเชียใหม่ อ้อ ไปคราวนี้มีนโยบายนะครับ
หรือจะเรียกว่ามี Theme ก็ได้คือ ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว เอาไว้เที่ยวหน้า ไปเที่ยว
จะได้ไม่ต้องทำงาน แปลไทยคือ ไปทำงานงดเที่ยว อืม ท่าจะยาก...


ตีห้าของวันอาทิตย์ ผมกับน้องชาย แล้วก็แม่ย่านางของผมอีกคน ล้อหมุนออกจากบ้าน
โดยปกติทัวร์ของผมทุกนัดจะหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงวันหยุด เพราะผมไม่ชอบ
การแย่งชิง เช่น แย่งอาหาร แย่งห้องนอน แย่งห้องน้ำ แย่งอากาศกันหายใจ หรือแม้กระทั่ง
เรื่องแย่งวิวแย่งวิวทิวทัศน์ จริงๆนะ แย่งวิวทิวทัศน์นี่ผมเจอมากับตัวหนหนึ่งคราวไปทีลอซู
จังหวัดตาก จำได้ว่าเช้ามืดราวๆตีสี่ ไกด์จะมาเรียกเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดอยหัวมด
ไอ้ผมก็เอะใจว่ามันจะไปอะไรกันตอนตีสี่วะ กว่าพระอาทิตย์จะพ้นฟ้านี่ปกติ 6-7 โมงเลย
นะโว้ย พอเลียบๆเคียงๆถาม ก็ก็ตอบว่าคนเยอะพี่ ต้องรีบไปจองที่
ผมก็งัวๆเงียๆตามขึ้นรถไปกับไกด์แก พอมาถึงก็รู้แล้วว่าทำไมมันถึงเรียกดอยหัวมด
ก็ดอยอีตรงจุดชมวิวมันเล็กจริงๆครับ เล็กเท่าหัวมดสมชื่อ
พื้นที่ให้ยืนมีไม่มากจนไม่น่าจะเข้าไปชมวิวได้สักกี่คน
โชคดีผมไปคนแรกๆ เลยได้จับจองที่นั่งชั้นริงไซด์ก่อนเพื่อน รอไปสักประเดี๋ยวประด๋าว
ก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาแออัดยัดทะนานกันอยู่บนดอย ณ. จุดชมวิวนั้นราวๆห้าหกสิบคน
ตรงจุดชมวิวนั้นก็กลายเป็นตลาดนัดไปทันที
"อย่าบังๆ"
"ข้างหน้านั่งหน่อยครับ บังข้างหลัง"
"ขี่คอพ่อไหมลูก"
"จะได้ดูไหมพระอาทิตย์ เห็นแต่หัวล้านคนข้างหน้า"
 และอีกหลายคำสบถ จนกะทั่ง Mood ของการนั่งชมพระอาทิตย์ขึ้นเงียบๆของผมกลายเป็น
Mood ตลาดบกไป นั่นแหละเป็นเหตุผลว่าแต่ไหนแต่ไรมาผมเลยไม่เที่ยววันหยุด

สายๆกว่าสิบโมง รถก็วิ่งเข้าเขตจังหวัดตาก ด้วยความที่เรามาเร็วกว่ากำหนด รายการแวะรายทาง
จึงเกิดขึ้นตามเสียงเรียกร้องของคนในรถ เราตกลงกันว่าจะไปแวะเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
เนื่องด้วยคนในรถคนหนึ่งไม่เคยเห็นก็เอ้า แวะเสียหน่อย




เขื่อนภูมิพลหรือเขื่อนสามเงานี่ผมมาหลายครั้งแล้วจำได้ คราวพ่อย้ายมาประจำอยู่
กินตำแหน่งนายอำเภอแถวๆชายแดนจังหวัดตากนั่นครั้งแรก
จำได้อีกคราวก็อีตอนราวๆม.5 ทัศนะศึกษาภาคเหนือ
คราวนั้นพิเศษหน่อยคือได้ลงไปดู ในส่วนของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเขื่อนด้วย
เขาให้เฉพาะเด็กๆนะครับที่ได้ลงไปดูการทำงานของเครื่องปั่นไฟฟ้าพลังน้ำ
ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเข้าไปดูก็ได้ต้องขออนุญาติกันก่อนเป็นเรื่องเป็นราว
อ้อ เขื่อนนี้เป็นเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนะครับหากใครไม่ทราบ



อากาศในช่วงที่ผมไปนั้นมันค่อนข่างแย่ ฟ้าปิด เพราะเป็นต้นวสันต์ฤดู
แดดไม่มีให้เห็นสักลำหรือถ้าจะมีก็เหมือนจะรีบไปรีมาพิกล
ผมจึงไม่ค่อยได้รูปดีๆมาสักเท่าไหร่ เพราะเล็งกล้องทีไร
ฟ้าฝนมันก็มืดก็มัวมาทันทีเหมือนจะแกล้ง ก็เลยได้แต่ภาพสีตุ่นๆออกมาตลอด
ไอ้ครั้นจะก้มหน้าลงไปถ่ายหลังเขื่อนเอาวิวสวยแนวดิ่ง
ก็เป็นอันเสียววูบวาบขึ้นมาทุกที
เพราะความสูงจากสันเขื่อนลงไปหาพื้นนี่เรียกว่าตกไปก็ซี้ม่องเท่งแน่นอน
แล้วผมก็ไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับเรื่องสูงๆเท่าไหร่เสียด้วย
ภาพมันจึงออกมาแต่แนวระนาบขนาน



อยู่กันบนสันเขือนสักไม่เกินสามสิบนาที ฝนก็ค่อยๆโปรยเม็ดลงมาให้เปียก
คณะของเราจึงรีบคว้ากล้องหลบเข้ากำบังกันขนานใหญ่ แล้วพอฝนหยุดก็เป็นอันจบ
การท่องเที่ยวสันเขื่อนแต่เพียงเท่านั้น เพราะจุดหมายข้างหน้า คือการหาอะไรใส่ปาก
แล้วเดินทางต่อไปยังเชียงใหม่ ปลายทางของทริปครั้งนี้

สักเทียงๆ เราก็เข้าสู่เขตจังหวัดลำปาง จังหวัดอันเป็นที่รักยิ่งของผม(ฮา)
ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่าผมชอบจังหวัดลำปางมากกว่าจังหวัดอื่น อาจเป็นเพราะอย่างว่า
ผมเคยมีเรื่องประทับใจอยู่ที่นี่หลายหน จะว่าไปผมอาจเป็นลูกหาบชั้นต่ำของ ลัวะอ้ายกอน
ผู้ถวายน้ำผึ้งบรรจุไม้ป้างแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า ในสมัยพุธกาล อันเป็นที่มาแห่งชื่อ
ลำปาง ก็อาจเป็นได้ ผมจึงค่อนข้างสนิทกับลำปางมากกว่าจังหวัดอื่นที่ผมเคยไป
แต่มาคราวนี้ไม่ได้แวะลำปางนะครับ แค่แวะกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเจ้าดังเท่านั้นเอง

"ก๋วยเตี๋ยวหรอพี่ อู้ย นู่น ห้างฉัตร ลูกชิ้นลูกเท่าหัวเข่า พี่เคยกินหรือเปล่า"
บทสนทนานี้น้องคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังในวงสนทนาอวดของดีประจำจังหวัดในวงเหล้า
อีตอนผมไปเรียนอยู่ออสเตรเลีย ซึ่งให้บังเอิญว่าน้องคนหนึ่งบ้านแกอยู่ลำปาง
พอตอนอวดของอร่อย ของแปลกประจำจังหวัด แกก็เล่าถึงอีลูกชิ้นลูกเท่า "หัวเข่า"
ให้คนในวงฟัง กลายเป็นที่ค้างคาใจของผมมาจนถึงทุกวันนี้ว่า น้องแกอำเล่นหรือเปล่า
ต้องไปให้เห็นกับตาให้ได้สักวัน...


ลูกชิ้นเนื้อร้านจ่าแดง หรือก๋วยเตี๋ยวลูกทุ่งเจ้านี้แหละคือชื่อของลูกชิ้น
ลูกเท่าหัวเข่าของน้องเขา ทางไปร้านก็หาไม่ยากเท่าไหร่
คือตั้งต้นที่แยกห้าเชียง ดิ่งตรงมาห้างฉัตร ก็เป็นทางที่จะไปเชียงใหม่อยู่แล้วด้วย
หาที่กลับรถเข้าตัว ที่วาการอำเภอห้างฉัตรให้ได้
ก็เป็นอันว่าจะเจอร้านนี้อยู่ซ้ายมือแน่นอน และก็ครับ...น้องแกไม่ได้อำเล่นสนุกๆ
ลูกชิ้นลูกเท่าหัวเข่ามีจริง แต่ไอ้ครั้นจะสั่งมา ก็ไม่รู้ว่าจะกินอีท่าไหน
เพราะลูกหนึ่งที่เขาให้ มันก็บวมเต็มชามพอดี
จะให้นึกภาพก็เอาลูกส้มโอใส่ชามก๋วยเตี๋ยว ขนาดนั้นแหละครับ
ขนาดรองๆลงมาก็ ปานกลาง ใหญ่ราวๆลูกเทนนิส อันนี้หนึ่งชามก็สองลูก
ผมก็ไม่ค่อยกล้าสั่งเท่าไหร่ด้วยว่าคนเต็มร้านเขาสั่งกันแบบปกติ
ไอ้ครั้นจะสั่งพิสดาร ก็เกรงใจ เลยเอ้า เอาลูกชิ้นปกติมาสามชาม
รอสักหายใจทิ้งสามสี่รอบ ลูกชิ้นธรรมดาขนาดพิเศษก็มา





ใหญ่ครับ ใหญ่เท่าลูกปิงปอง ให้มาสามลูก ผมกินไปสองชามหกลูก
อิ่มตั้งแต่ลำปางไปยันเชียงใหม่เลยทีเดียว แนะนำให้มาลองกันดู
อ้อลืมไป เจ้าของร้านน่ารักนะครับ สวยแบบชาวเหนือ บอกเผื่อๆกันไว้ก่อน
ไว้ดูเพลินๆตอนรอก๋วยเตี๋ยวกับตอนน้องแกมาเก็บตัง...
แหมความสุขเบี้ยบ้ายรายทางชัดๆ

บ่ายสามโมงต้นๆเราก็เข้าได้ถึงที่พักที่จองไว้แถวๆประตูท่าแพ เชียงใหม่
คราวนี้โรงแรมที่จองไว้อยู่ในกำแพงเมืองเลย เรียกว่าได้ที่นอนดีมาก โรงแรมนี่เป็นโรงแรมใหม่เอียม
แลดูเหมือนเพิ่งจะเปิดทำการไม่นาน เป็นโรงแรมแบบที่ฝรั่งเรียกว่า Budget Hotel คือราคาไม่แพงมาก
ไม่มีบริการอะไรแม้กระทั่งยกกระเป๋า แต่ห้องนอนก็ไม่ได้กระจอกงอกง่อยนะครับ หรูทีเดียวแหละ
แอร์ ทีวี อาหารเช้าครบ เหมาะสำหรับการมานอนอย่างเดียวจริงๆไม่ต้องเอาวิวเอาทิวทัศน์อะไร




ตามตารางการเดินทางมาทำงานคราวนี้ สถานที่แรกที่เราจะไปหาของป่ามาขายก็อยู่ที่หน้าโรงแรมนั่นแหละ เป็นกาดคนเดินวันอาทิตย์ของเชียงใหม่เขา รถราก็ไม่ต้องออกต้องวิ่ง
จอดไว้ที่โรงแรม ให้ได้พัก แค่เดินออกมาหน้าโรงแรมข้ามไปอีฝั่งถนนไม่เกินสิบก้าว
กาดคนแดินบนถนน ราชดำเนิน ต่อถนนพระปกเกล้า ยาวตั้งแต่ประตูท่าแพไปสุดราวๆแยกกลางเวียง
ระยะทางก็ราวสองกิโล ไม่ไกลมาก รอค่ำๆพวกเราก็จะออกเดินกาดกัน...


เวลามาเชียงใหม่ทีไรผมก็นึกถึงเพลงของอ้ายบ่าว จรัญ มโนเพชรอยู่บ่อยๆ มาทีนี้ผมเดินร้องเพลงเจ็ดร้อยปีเมืองเชียงใหม่อยู่ในใจไปๆมา ด้วยว่าช่องสามก็เพิ่งจะจบหนังพีเรียดเรื่อง รอยไหม
ที่มีผีอีเม้ยหน้าขาวตาม่วง กับดอกเก็จถวาที่เป็น แก่นของเรื่องไปหยกๆ ดอกเก็จถวาหรือดอกพุด ของภาคกลางนี่แหละที่มีแทรกอยู่ในท่อนหนึ่งของเนื้อร้องที่ชวนให้ฝันถึง

พักร้อนนี้อยากจะวานสักครั้ง ถ้าคุณขึ้นไปเชียงใหม่
หากตรงวันพระควรจะได้ไปกราบที่เจดีย์หลวง
และถ้าพบกับคนผิวสวย มวยผมแซมเอื้องยวง
ใส่เสื้อขาวซิ่นแดงอมม่วง สวยด้วยตีนจกไหม
พบเขาแล้วคุณช่วยบอก บอกว่าว่าผมนัดไว้
อยากจะเจอในวันที่เมืองเชียงใหม่ บรรจบมีอายุ เจ็ดร้อยปี

ขอให้ให้เขาจัดเตรียมมะลิ เก็จถวาและสารภี
ดอกเหล่านั้นที่กรุงเทพมี แต่ว่ามันไม่สวย
และให้เขาอภัยให้ผม ที่จำต้องวานคุณช่วย
ฝากความรักคิดถึงมาไปด้วย ช่วยหน่อยเถอะได้ไหม
พบเขาแล้วคุณช่วยบอก บอกว่าผมนัดไว้
อยากจะเจอในวันที่เมืองเชียงใหม่ บรรจบมีอายุ เจ็ดร้อยปี


เพราะไหมเล่าครับ อยากรู้ว่าร้องอย่างไรก็ไปหาฟังเอา





แดดยังไม่ลับฟ้า พวกเราตัดสินใจออกเดินตราจตลาดกันก่อนหนึ่งรอบ
เพราะดูเหมือนว่าฝนตั้งเค้ามาแต่ไกลๆแล้ว และหากฝนตก ก็คงไม่ได้ออกไป
เดินตลาดกันเป็นแน่แท้ อีกทั้งนี่ก็เย็นแล้ว เหมาะสมกับการหาอาหารมื้อเย็น
มื้อแรกในเชียงใหม่พอดี








กาดคนเดินวันอาทิตย์นี่อยู่แถวถนนท่าแพนะครับ ใครไปวันเสาร์เขาไม่ได้มีที่นี่
ให้ไปอีกที่หนึ่งก็คือกาดวัวลาย ส่วนอยู่ตรงไหนของเชียงใหม่ก็จนใจจริงๆ
คงต้องอาศัยรถแดง  หรือไม่ก็ถามเอาจากชาวบ้านแถวๆนั้นคงบอกทางถูก


กาดคนเดินท่าแพนี่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้มีอะไรมาก ดูเหมือนจะเป็นตลาดขายของที่ระลึก
ของเมืองเชียงใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวเสียละมากกว่า มีผลิตภัณฑ์ชาวเขาอยู่แทบทุกสามก้าว
ของที่เป็นงานฝีมือ งานแฮนด์เมดก็มีอยู่เยอะแยะ ไอ้ที่ผมชอบคือ สนนราคาพอจับต้องได้
ไม่แพงมาก ของบางชิ้นนี้ต้องซื้อครับ ราคาพอจับแล้วทั้งฝรั่งทั้งไทยนี่ อะเมซิ่งกับราคามาก
สิบบาทยี่สิบบาท มีให้เห็นเยอะไป ตัวอย่างเช่นผ้าพันคอที่ทำจากผ้าฝ้าย ลายสวยๆ
ดูด้วยตานี่ผืนละ สองสามร้อยก็ขายได้ถ้าอยู่ที่กรุงเทพ จับปุ๊บเจ๊คนขายบอกสามผืนร้อยกะเจ๊า
นี่ผมเหมามาเลยสามผืน ถูกชะมัด เดินไปพลางๆ จากหัวถนนไปสุดถนนนี่ผมจ่ายไปไม่เกิน ห้าร้อยบาท
แต่ได้ของฝากเยอะครบทุกคนเชียว คุ้มครับคุ้ม




ผมไม่รู้ว่าเชียงใหม่กับอยุธยานี่ที่ไหนวัดเยอะกว่ากัน รู้แต่วว่าเชียงใหม่นี่มีวัด"ถี่" กว่าอยุธยามาก
อยุธยานี่เป็นเกาะเมืองนะครับถนนสายหนึ่งนี่เอาเฉพาะยาวด้านหนึ่งของเกาะเมือง
นี่ก็มีราวๆหกเจ็ดวัดแต่ของเชียงใหม่นี่ถี่กว่านั้น เฉพาะถนนที่เป็นกาดคนเดินในวันอาทิตย์
แต่วันปกติเป็นเส้นทางสัญจรนี่ ก็ปาเข้าไปเจ็ดแปดวัดแล้ว
พุทธสานิกชนที่ดีอย่างผมนี่ไปไหนก็ต้องเข้าไปวัดสักหน่อย
ส่วนหนึ่งก็ไปขอพรขอโชคขอลาภตามประสาคนที่ยังติดอยู่ในวัฎฎะปกติ
อีกส่วนหนึ่งผมเป็นคนชอบดูงานพุทธศิลป์ครับ
ไอ้การเสพย์ความเป็นทิพย์ของงานพุทธศิลป์นี่ไม่ได้ทำได้บ่อยๆหรอก
ความงามอ่อนช้อยของพระพุทธรูป ความประณีตของงานสกุลช่าง
ตามจิตรกรรมฝาผนังโบราณนี่มันวิเศษนะครับ
ได้ดูได้เสพย์แล้วมันจะเป็นทิพย์แก่ตาแก่หู และก็อยากจะครอบครองตามกิเลสที่เดียว
พระสมัยรัชกาล สิงห์หนึ่ง สิงห์สอง สุโขทัย ลพบุรีอยุธยาเชียงแสน นี่ผมอยากได้หมด
เทียวๆไปเดินตามเมืองเก่าตามวัดร้างทีไร อดอยากจะขุด
จะหาพระกันเสียอยู่บ่อยๆ
จนใครๆเขาก็หาว่าผมเป็นโจรปล้นกรุเสียแล้ว แหะๆ คนมันชอบ






















ผมเดินเข้าออกเข้าออกวัดอยู่ห้าหกวัดเท่าที่จำได้ จนกระทั่งฟ้ามืด
เมื่อยครับ เดินกาดคนเดินเชียงใหม่ตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดทางแล้วกลับนี่ราวๆสามกิโลได้
เราเดินซื้อของกันเพลินๆแล้วก็เลยได้ของมาคนละหลายๆอย่าง
ราคาของก็จัดว่าถูกมาก ถ้าคิดจะมาช๊อบปิ้งละก็ กาดคนเดินท่าแพวันอาทิตย์เลยครับ
แต่แนะนำให้พกยาหม่องทาแก้ปวดขามาด้วย เพราะไกลเอาเรื่องเหมือนกัน




เช้าวันต่อมาก็ดูเหมือนภาระกิจการตระเวนหาของป่าของเราก็จบลงแล้ว
เวลาในเชียงใหม่ก็เป็นอันว่าเหลือพอให้เที่ยวได้อีกหนึ่งวัน
ซึ่งถ้าตามที่แพลนไว้ก็ไม่ได้เที่ยวหรอก มาทำงานทั้งสองวันนั่นแหละ
แต่ให้ได้ว่าบังเอิญงานมันเสร็จเร็ว ที่เหลือจะโครจรออกนอกเส้นทางก็คงไม่เป็นไร
เราจึงเลือกที่จะไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพกัน

ครั้งกระโน้นเมื่อคราวมาดอยสุเทพนี่จำได้ว่าไม่เกิน ม.6 ร่างกายฟิ๊ตเปรี๊ยะ
เรียกว่าถ้าจะให้ขึ้นลงบันไดสามสี่ร้อยนี่สามารถแถมให้อีกสองรอบยังได้
แต่มารอบนี้มันสี่สิบกว่า ไอ้บันไดสามร้อยสี่ร้อยขั้นนี่เข้าขั้นสาหัสสากรรจ์ทีเดียว
แต่ครั้นจะขึ้นกระเช้าลาก มันก็จะดูเสียเชิงไปสักนิด
ผมจึงยกมือขึ้นพนมแล้วอฐิษฐานจิตว่าถ้าลูกยังมีบุญแล้วไซร์
ขอให้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยประการทั้งปวงในครั้งนี้
จงกลายเป็นผลบุญอุทิศตรงต่อบวรพุธศาสนาให้ยืนยาวสืบไป
ว่าแล้วก็กราบในใจสามที  แล้วลุย..






สามสิบนาที่หรือน้อยกว่านั้นผมก็มานั่งหอบเรี่ยราดอยู่หน้าองค์พระธาตุ
ดอยสุเทพด้านบนวันนี้ฟ้าปิดครับ อากาศค่อนข้างจะออกหนาวทีเดียว
ฝนที่ฝรั่งมันเรียก Shower นี่โปรยตลอดเวลา ผมจึงถ่าภาพพระธาตุดอยสุเทพ
และทัศนียภาพได้แบบหม่นๆหน่อย







เมื่อสักการะองค์พระธาตุดอยสุเทพเสร็จก็พอดีกับฝนจริงเริ่มมา ทัวร์นมัสการพระธาตุดอยสุเทพจึงจบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ก่อนกลับฝมก็ได้เห็นฟ้าเปิดอยู่ราวๆสองสามนาที ภาพตัวเมืองเชียงใหม่จากมุมสูง
จึงได้มีเข้ามาอยู่ในกล้องบ้างแต่เพียงห้าหกรูป แต่ก็เป็นรูปที่ผมชอบที่สุดเลยนะครับของทริปนี้
ผมว่ามันสวยดี สวยอีตรงที่มันแย้งกันอยู่นั่นแหละ เมืองที่มีภูเขาล้อมรอบ ในหุบเขา
มีแต่ตึกรามบ้านช่องผุดเต็มไปหมดเสมือนหนึ่งว่าเมืองกับธรรมชาติกำลังแย่งชิงพื้นที่กัน





กลับลงจากดอยสุเทพทริปเราก็ขับรถผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่
แล้วก็ให้ได้นึกขึ้นมาว่า เรายังไม่ได้ไปนมัสการสัตว์คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เลย
มาทั้งที ไปนมัสการกันหน่อยปะไร ไปครับไปนมัสการหมีแพนด้าหลินปิงกัน





ค่าเข้าสวนสัตว์คนละ 100 บาท ค่ารถไฟโมโนเรล 70 บาท ค่าเข้าไปดูหมีสองตัว
นั่งทำตะเกียบ อีกตัวเดินเพ่นพ่านแบบกลุ้มใจไปมาอีก 100 บาท
ผมว่า 270 บาทนี่มันแพงไปสักหน่อยกับค่าตัวของสัตว์ประจำจังหวัดเชียงใหม่
ถึงว่า มันน่าจะเป็นรายได้หลักของสวนสัตว์นี้ละมั๊ง เขาจึงยังไม่ยอมคืนให้กับทางประเทศจีน
เพราะถ้าคืนไปแล้ว แล้วเก็บตัง 270 บาทมาดูช้างไทยดูหมีควายไทย
ผมว่าไม่มีใครมาเที่ยวสวนสัตว์นี้แน่นอนพนันกันได้






เช้าสุดท้ายกับเชียงใหม่ก่อนกลับบ้าน ผมแวะไปดูไอ้ที่อยากจะรู้อีกรายการหนึ่งคือแวะไปดู
ลัดดาแลนด์ แดนผีสิง แต่ก็ไม่ได้เข้าไปดูอะไรนะครับ แค่ขับรถไปจอดแล้วมองๆเข้าไป
เห็นก็แต่ต้นไม้ต้นไร่ไม่มีอะไรหรอก แต่ถามว่าอยากเดินเข้าไปดูไหม ก็อยากนะแต่ขอเป็นพากันไปสักสิบยี่สิบคนเห็นจะดีกว่าไปสามคนตอนนี้แน่ๆ เราก็เลยได้แต่มองๆเอา แล้วก็ออกรถตรงกลับกรุงเทพกันในสายๆวันนั้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


จำได้ว่าคราวที่มาเชียงใหม่สักสิบกว่าปีที่แล้วนี่น่าประทับใจมาก
เมืองไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ คือยังดูมีเสนห์ เป็นเมืองที่เวลาเดินช้า
แลดูเรียบๆ คือถ้าเป็นผู้หญิงนี่ก็สาวเครือฟ้าประมาณนั้น
เนิบนาบ อ่อนช้อย ค่อยๆไป มีจริตอย่างลึกลับ บ้านเมืองก็ไม่อีรุงตุงนัง
แบบตอนนี้ บ้านไม่เก่าๆ เรือนขายของที่เป็นแบบเรือนทางเหนือแบบลำปาง
ลำพูนขนาบไปตามถนนสองข้างทาง ที่เดินผ่านไปแล้วมีแต่รอยยิ้มมันหายไป
มาเที่ยวนี้ผมจึงไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่
ทุกๆหนึ่งหายใจออก คุณจะเห็นฝรั่งเดินสวนมาในบริเวณกำแพงเมือง
ถนนสายหลักๆในกำแพง ของกินที่เป็นอาหารเมืองหายากมาก
ไอ้ที่น่าจะเป็นร้านข้าวซอย น้ำพริกหนุ่มแกงโฮะ แกงวัวตั๋วลายนั้น
แปรเปลี่ยนเป็นเกสต์เฮาส์และร้านกาแฟและร้านขายของชำไปหมด
มองไปทางไหนก็จะเห็นวัฒนธรรมไอ้ที่เรียกกันว่า"ชิว ชิว" ที่น่ารังเกียจอยู่เกลื่อน
ผมเป็นคนไม่ชอบเลยไอ้"ชิว ชิว" นี่ ไม่มันจะ"ชิว"ไปทำไม ตอนอยู่กรุงเทพนี่ผมเข้าใจ
ว่ามันเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองใหม่ มีความทันสมัย ต้องหรูหรา นี่ผมพอรับได้
จะชิวจะเท่ก็ว่ากันไปเพราะกรุงเทพฯมันไม่ได้มีวัฒนธรรมเชิงลึก
เหมือนที่อื่นอย่างเชียงใหม่ อย่างอยุธยาเขา
มาเชียงใหม่เที่ยวนี้ผมเลยเจอแต่ภาพเชียงใหม่ที่ "ใหม่" จริงๆสำหรับผม
นักท่องเที่ยวต่างชาติยกตีนขึ้นวางโต๊ะนั่งสูบบุหรี่ด้วยอาการ"ชิว ชิว"
ตามร้านกาแฟ บ้างก็นั่งดื่มเหล้าอยู่ในผับเสียงดังโครมคราม
บ้างก็ขี่มอเตอร์ไซด์ขับร่อนฉวัดเฉวียนไปมา
ผมเองชักสงสัยเหมือนกันว่า ตกลงเราโฆษณาให้เขามาเชียงใหม่เพื่อมาทำอะไร
มา"ชิว ชิว" มาเปลี่ยนที่ฟังเพลง เปลี่ยนที่สูบบุหรี เปลี่ยนที่กินเหล้า
หรือให้เขามาชมวัฒนธรรมเมืองเหนือ ของเราแล้วซึมซาบเอามันกลับไปบ้านเขากันแน่
แล้วผมก็หายใจออกอย่างเสียดายว่า
อีกไม่นานนัก เชียงใหม่เมืองที่เป็นเสมือนตัวแทนของภาคเหนือ
เมืองที่เป็นเหมือนสาวนุ่งซิ่นตีนจกไหม ทัดดอกเก็จถวา กางจ้องเดินกาดเช้า
คงจะกลายเป็นสาวกรุ่งนุ่งสั้น ใส่เสื้อรัดติ้วหิ้วเป๋าใส่แว่น ไปในอีกไม่นานนัก
คิดแล้วก็ก้มกราบพระธาตุเจดีย์หลวง อฐิษฐานในใจให้เวลาของเชียงใหม่เดินช้าลงบ้าง
อย่าไปตามกรุงเทพให้มันเร็วไปนัก ไม่ต้องรีบ"ชิว ชิว"
ประเดี๋ยวมันจะไม่มีที่ให้ผมไปเที่ยว...


.................................................................

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด