"คนหนึ่งสามารถก้าวไปข้างหน้า ส่วนอีกคนถูกพันธนาการไว้กับความทรงจำ"


"คนหนึ่งสามารถก้าวไปข้างหน้า ส่วนอีกคนถูกพันธนาการไว้กับความทรงจำ"

ที่โรงเรียนประตูชัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ตึกที่ผมเรียนช่วงชั้น ประถมสี่ถึง ประถมหก
มีห้องสมุดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ในห้องสมุด ตรงกลาง
จะมีตู้ปลา ขนาดใหญ่มากทรงแปดเหลี่ยม สามารถเดินดูได้รอบๆทั่วตู้
ช่วงเวลาที่ผมไม่ได้ไปเล่นอะไรกันกับเพื่อน อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ
ผมก็เลือกที่จะเดินเข้าไปในห้องสมุด ไปดูปลาว่ายไปว่ายมา
บางทีอยู่นานๆก็หันไปหาหนังสือมาอ่านบ้าง
ในมุมหนึ่งของห้องสมุด มีนิตยสารอยู่บ้าง เด็กๆอย่างผมคงไม่ได้
ชอบที่จะอ่านหนังสืองจริงๆจังๆมาก เลยมองหานิตยสารที่มีภาพ
มากกว่ามีตัวอักษรมาอ่าน และเล่มที่ผมเลือก ทุกครั้งที่เข้าไปในห้องสมุด
มีชื่อว่า "จากญี่ปุ่น" ชื่อภาษาอังกฤษ "From Japan"



นิตยสารเล่มนั้นเป็นนิตยสารที่เปิดหูเปิดตาให้ผมได้รู้จักกับประเทศญี่ปุ่น

เป็นครั้งแรก ในนิตยสารนั้นจะมีแต่ภาพมากมาย เป็นภาพสีสวยๆ
มีคำบรรยายไม่มาก แสดงถึงศิลปะ วัฒนธรรมและความงดงามของสิ่งก่อสร้าง
วัด ศาลเจ้า การแต่งกาย ขนบประเพณี ธรรมชาติ
รวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนในประเทศญี่ปุ่น ที่มีความงดงามอย่างที่ผมไม่เคยได้เห็น
และเมื่อผมได้ค้นพบประเทศญี่ปุ่นในหนังสือเล่มนั้นแล้ว
พักหลังๆผมจึงเลือกที่จะเข้าห้องสมุด
แต่ไม่ได้ไปดูปลาในตู้กลางห้องแล้ว แต่เลือกที่จะหยิบเอานิตยสารทั้งกอง
เพราะน่าจะไม่มีใครอ่านมัน แล้วเลือเอาโต๊ะที่อยู่มุมในสุด
เอานิตยสารออกมากาง แล้วก็เลือกที่จะออกเดินทางไปยังสถานที่แปลกใหม่
พบปะผู้คน เรียนรู้วัฒนธรรมที่สวยงาม ตลอดสี่สิบนาทีของช่วงพักเที่ยง
และจะกลับมาเมื่อเสียงกริ่งเรียกให้เข้าห้องเรียนดังขึ้น

ช่วงที่ผมไปเรียนที่ออสเตรเรีย เรียนปริญญาโท 
ผมมีเพื่อนสนิทที่เป็นคนญี่ปุ่นอยู่คนหนึ่ง มันชื่อไอ้ฮิ
ชื่อจริงคือไอ้ ひろみちたに อ่านว่าฮิโรมิจิ ทานิ
แรกๆผมหัดเขียนชื่อมันผมอ่านว่า ไอ้ 0325 เพราะตัวอักษร
ฮิราคะนะในชื่อมันเหมือนเลขที่ว่า 
ไอ้ฮิมาสนิทกับผม เพราะมันพอจะคุยกันกับผมรู้เรื่องอยู่คนเดียว
ค่าว่าผมฟังเพลงญี่ปุ่น อยู่บ้างในช่วงนั้น
พอมันได้ยินเพลงญี่ปุ่นที่ผมฟัง มันก็เลยตื่นเต้น
ว่ามีคนรู้จักประเทศมันด้วย จากนั้นเราก็เริ่มคุยกัน ด้วยว่า
แรกๆภาษาก็ห่วยด้วยกันทั้งคู่ ภาษาผมก็ห่วย มันก็ห่วย
เลยมีอยู่วันหนึ่งถึงขนาดที่เรียกว่ามานั่งปรับทุกข์กัน
แต่คุยกันคนละภาษาก็มี มันบ่นเรื่องความรักเป็นภาษาญี่ปุ่น
ส่วนผมบ่นเรื่องเรียนเป็นภาษาไทย นั่งบ่นกันไปสักครึ่งชั่วโมง
สุดท้ายหันมาขำกัน และก็คลายทุกข์กันไปอย่างไม่เข้าใจ
นี่แหละ ผมถึงค้นพบได้ด้วยตัวเองว่า ภาษาไม่ใช่กำแพงกั้น
ระหว่างความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
สิ้นปีครึ่ง จบการศึกษา ผมกับไอ้ฮิแยกย้ายกันไป 
มันไปเรียนที่ในเมือง ส่วนผมไปเรียนที่นอกเมืองไกลไปร้อยกิโล
เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก โชคร้ายกว่าคือมันย้ายบ้าน ผมย้ายบ้าน
เลยไม่รู้เลยว่าจะหากันเจออย่างไร แต่ไม่เป็นไร 
ภาพที่มนุษย์สองคนพูดคนละภาษา คนละเรื่อง มันยังประทับตราอยู่ใน
ความทรงจำของผมมาตลอดแหละ ไม่เศร้าหรอกนะ แต่รู้สึกดีเสมอเมื่อมองย้อนไป

หลายปีผ่านไป 
ผมเคยนึกๆว่าวันหนึ่ง ผมจะหยุดเดินอยู่ในสถานีรถไฟโตเกียว แล้วยืนรอให้
ไอ้ฮิมันเดินผ่าน เผื่อว่าเราจะได้มาเจอกันอีกแล้วตะโกนคุยกันแบบ
ไม่เข้าใจเหมือนเดิม คิดไปคิดมาผมจึงเริ่มทำตามความฝัน ที่จะเจอไอ้อิ
เลยเก็บตัง ใช้เวลาเก็บสักสองปี แล้วก็ออกเดินทางตามหา
แต่ไม่ใช่ไอ้ฮิคนเดียวแล้วละ มีคนอื่น สิ่งอื่นด้วยอีกหลายอย่าง

พฤษภาคม 
6:00 น.
วันที่ 0
ผมและภรรยา ออกเดินทางจากที่ทำงานมาถึงสนามบินดอนเมืองราวๆ
หกโมงเย็น เพื่อรอเช็คอินตอนสี่ทุ่ม และเครื่องออกห้าทุ่ม
มาเร็วได้เปรียบ เพราะอยู่กรุงเทพ คงเอาแน่เอานอนไม่ได้กับการจราจร
ผมเดินแกร่วอยู่จนกระทั่งเรียกบอร์ด ออกจากประเทศไทยด้วยสายการบิน
แอร์เอเซีย เที่ยวบินที่ XJ600 จากกรุงเทพฯ ราวๆเที่ยงคืน พอล้อยกจากพื้น
ผมก็ปล่อยความง่วงเข้าครอบคลุม และหลับไปท่ามกลางความมืด




วันที่ 1
เวลาที่โตเกียวเร็วกว่าที่เมืองไทยประมาณสองชั่วโมง ก็ราวๆตีห้าเมืองไทย
เราก็ลงจอดที่สนามบินนาริตะ ออกจาเครื่องเราก็เตรียมเอกสารจนพร้อมสรรพ
กะว่าต้องถามต้องตอบอะไรยืดยาวแน่นนอน แต่เปล่า 
นับแต่เดินมาเข้าคิว ตรวจหนังสือเดินทาง ผ่านพิธีศุลกากร รับกระเป๋าเดินออกมา
รอรถไฟ เบ็ดเสร็จใช้เวลาทั้งสิ้น สิบนาที...

พออกมาก็จัดการหาซื้อตั๋วรถไฟ KEISEI 3 days Pass คือจะขึ้น
จะลง จะหลงเท่าไหร่ก็ได้ กี่รอบก็ได้ ไปไหนก็ได้โดยใช้รถไฟใต้ดินของโตเกียว
สาย KEISEI และสาย TOBU ได้หมด ในเวลาสามวัน เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว
และนักหลงทางอย่างผมนี่แหละเป็นที่สุด

จากสนามบินนาริตะ Terminal 2 เราใช้รถไฟสาย Keisei-Ueno มาลงที่สถานีอุเอโน่
ใช้เวลาเดินทางยี่สิบสามนาทีในระยะหกสิบกิโลเมตร พอลงถึงอุเอโนก็ได้เวลา
ผจญภัยที่แท้จริงกันสักที เราเดินทางต่อโดยรภไฟใต้ดิน สาย Hibiya line
ไปลงยังสถานีที่เราจองที่พักไว้คือสถานี มินามิเซนจู Minami-senju みなみせんじゅ
หรือเซนจูเขตใต้ ซึ่งไอ้ที่ยากลำบากของสถานีนี้คือมันเป็นสถานีชุมทางรถไฟ
และจะข้ามฝั่งไปยังโรงแรม ต้องข้ามสะพานข้ามทางรถไฟไป 
และไอ้กระเป๋าที่ลากมาก็ไม่ใช่ว่าเล็กๆเห็นบันไดขึ้นทีแรกก็ท้ออยู่เหมือนกัน
แต่เอา มันต้องข้ามไปให้ได้ ก็เลยตัดสินใจอุ้มกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไปช้าๆ
ขณะกำลังเดินขึ้นไปๆ มีลุงคนหนึ่งหยุดเดิน แล้วมอง จากนั้นก็ชี้มือไปข้างล่าง
แล้วพูดว่า "เอเรเบตะ" เท่านั้นเอง ความเข้าใจที่มีได้มาจากหนังสือที่อ่านมาเยอะๆว่า
ห้ามใช้ลิฟต์ ลิฟ์ใช้ได้เฉพาะคนพิการและคนสูงอายุเท่านั้น เป็นอันจบ 
แต่ก็นะ แบกมาครึ่งทางแล้ว ก็เลยโค้งหัวให้ลุงแล้วบอก อ"ะริกะโตะโกซัยมาซุ"
แล้วก็เดินต่อไปจนสุด แต่ขาลงก็ได้ใช้ลิฟต์ นี่ไง มันต้องมาให้เห็น ถึงจะรู้
หลังๆ พอกลับมาจากเที่ยวมืดๆไม่มีคน ก็แอบใช้นะ ไม่ได้แบกอะไรมาหรอก เมื่อย



พอข้ามสะพานก็เดินต่อไปอีกราวๆสองแยก ไม่ไกลมาก 
ราวๆห้านาทีสิบนาทีก็มาถึงที่พักคือ Hotel Palace Japan โรงแรมของชาวแบ็คแพค
ราคาถูก คืนละพันสองร้อยบาท กลางโตเกียว ราคาถูกกว่าไปนอนเชียงใหม่หรือหัวหินอีก
จริงๆกำหนดเช็คอินเข้าพักของโรงแรมคือบ่ายสอง และเรามาถึงสิบโมง
ตามกฏก็คือต้องฝากกระเป๋าไว้ก่อนและมา Check in ตามเวลา แต่โอบ้าจังซะมะ เจ้าของโรงแรม
ใจดีมาก เห็นเรามาเหนื่อยๆ เลยให้เข้าพักได้เลยไม่ต้องรอ เลยได้เข้าไปอาบน้ำอาบท่าก่อน

พอขึ้นถึงห้องก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ บินมาห้าหกชั่วโมง เสื้อนี่เน่ามาก

พออาบน้ำเสร็จ เปิดแอร์ก็นะ ไม่อยากไปไหนละ อยากนอนละ แต่ก็อีกแหละ
มันมาเที่ยว ไม่ได้มานอน ก็ต้องฝืนใจออกเดินทางต่อ

ออกจากโรงแรมเราก็เดินดิ่งลงใต้ตามถนนสายอาซะคุสะ จุดหมายแรกของการเดินทาง
ก็คือ วัดเซนโซจิ หรือที่คนไทยเรียกวัดอาซะคุสะ เมื่อเริ่มเดินไปเรื่อยๆก็พบว่า
อัตราส่วนของผนที่ในกู้เกิ้ล กับความเป็นจริงสวนทางกัน เลยเริ่มรู้สึกว่าไกลเอาเรื่องอยู่
เดินไปสักพักก็น่าจะใกล้ถึงวัดแล้ว บริเวณห้าแยกอาซะคุสะ ตรงนี้เป็นห้าแยกที่มีแยกหนึ่ง
สามรถเดินไปยัง Tokyo Sky Tree ได้ แถวห้าแยกนั้นมีร้านราเมงอยู่ร้านหนึ่ง
ด้วยความที่คันจิยังเรียนไม่ถึง เลยไม่รู้ว่ามันชื่อร้านอะไร แต่หน้าร้านมีรูปซามูไร
และเห็นคนค่อนข้างเยอะ เลยตัดสินใจฝากมื้อแรกในประเทศญี่ปุ่นที่นี่



พอเข้าร้านไปก็ยืน งง สักพัก สั่งก็ไม่เป็นนะ อาศัยว่าดูหนังญี่ปุ่นบ่อย เลยลองดู
ดูรูป หยอดตัง รับตั๋ว ก็ไม่ยากอะไรนี่ แล้วก็เอาตั๋วให้คนขาย นั่งรอสักพักก็มา
และมาอย่างชามใหญ่ เห็นทีแรกก็ตกใจอยู่ว่า จะหมดไหม ชามหรือกะละมังนี่
พอกินๆไปก็เริ่มอร่อย ราเม็งมิโซะหมูใส่ใข่ ประทับใจมาก อร่อยอย่างบอกไม่ถูก
ที่ประทับใจไม่ได้ประทับใจน้ำซุป หมู หรือเส้น แต่ประทับใจใข่ที่ใส่มา
คือมันอร่อย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แค่ใข่ต้มน่ะ แต่อร่อยจริงๆ




กินเสร็จก็เริ่มออกเดินทางต่อไปวัด พอไปถึงก็ทำพิธีไหว้พระ ล้างมือ ไหว้พระขอพร
แล้วก็พบว่าคนมหาศาลจริงๆที่นี่แต่ไอ้ที่ไม่ประทับใจก็มี ก็ทัวร์จีนนี่แหละ
ที่ทำให้ความอยากเดินชมวัดหายไป ทั้งเสียงดัง เดินชน แทรกเข้ากลางขบวนพระสงฆ์
ที่มาสวดที่วัดจนโดนคนในวัดตะโกนด่า พวกเราจึงเดินถ่ายรูปไปรอบๆสักพักแถวๆหน้าประตู
ฮันโซมอน  แล้วเดินหลบเลาะๆไปทางหลังวัด พอถึงหลังวัดก็เอ๊ะ มีโทริอิ
ก็เลยรู้ว่าของดีมาซ่อนอยู่หลังวัดนี่เอง ก็เลยเดินต่อไป แน่นอน คนไม่มีแม้แต่คนเดียว
เงียบมาก แล้วก้เห็นศาลเจ้า"อินาริ いなりศาลเจ้าจิ้งจอก" อยู่ เลยเดินวนๆไปเก็บภาพและไหว้พระตรงนั้นแทน เดินถ่ายไปสักพักก็เดินออกไปข้างๆวัด ไปที่ร้านเช่ากิโมโน คือร้านนี้น่าจะเป็นศูนย์บริการ
นักท่องเที่ยวเขตอาซะคุสะ ที่มีบริการให้เช่ากิโมโนราคาถูกด้วย
ก็เลยพาไปแต่งชุดกิโมโนไปเดินริมน้ำแถวๆย่านริมแม่น้ำซุมิดะ(すみだ川)
แม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่านกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น
ก็คงประมาณแม่น้ำเจ้าพระยาเรานี่แหละที่ไหลผ่านกลางกรุงเทพเหมือนกัน
เดินๆถ่ายอยู่ได้สักสองชั่วโมงก็เริ่มจะท้อใจมันเมื่อย ก็เลยเอาชุดไปคืน แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดิน
ไปชิบุย่า ถึงชิบุย่าก็ไปถ่ายรูปกับlandmark สำคัญของสถานีคือ เจ้าฮาจิโกะหมายอดกตัญญู
ที่เฝ้ารอคอยเจ้าของที่ไม่มีวันกลับมาพบมันจนตัวตาย








จากนั้นก็ไปห้าแยกชิบุย่า ไปเดินทำตัวกลมกลือนอยู่ที่ห้าแยกได้สักสองรอบสามรอบ
คือไอ้ห้าแยกนี้ใครมาชิบุย่ามันต้องมาเดินเขาว่าอย่างนั้น จากนั้นก็ครับ หลง
ขึ้นลง ขั้นลงหลายสถานีมาก จนสุดท้ายก็ไปยังสถานี อิบิซึ
เดินต่อไปยังอาคารที่ทำการรัฐบาลฝั่งใต้ ที่ตึกนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวฟรี
ที่ชั้นสี่สิบสาม เราก็ขึ้นไปชมวิวยามค่ำคืนกะเขาเหมือนกัน เขาว่าตอนเย็นๆอากาศดีๆ
จะสามารถมองเห็นไปถึงฟูจิซังได้ด้วย เสียดาย ไปหลงจนมืดจนค่ำ พอออกจากตึกรัฐบาล
ก็เข้ามืดเข้าค่ำแล้วก็เลยไม่ได้ทำอะไรหรือไปไหนต่อ จับรถไฟกลับที่พัก
ด้วยอาการขาจะหลุดออกจากตัว แต่ก็ยังฝืนใจไปซื้อของกินที่
Local supermarket ที่ชื่อ 島田や ฝั่งตรงข้ามโรงแรมมากิน
เพราะคุณป้า โอบ้าซังซะมะแนะนำไว้ว่า อย่าไปกินร้านหรูๆ มันแพง
ถ้าคุณอยากกินแบบที่พวกเราคนญี่ปุ่นกินอยู่ทุกๆวันและประหยัดเงิน กรุณาไปอุดหนุนร้าน
ในชุมชนดีกว่า ฟังแล้วก็นะอยากเป็นแบบเขาก็ต้องทำเหมือนเขา
พอเข้าไปก็ตื่นตาตื่นใจอยู่เหมือนกัน ของแปลกๆเพียบ ที่สำคัญต้องรอตามสูตร
คือถ้าพ้นเวลาสามทุ่มอาหารจะลดราคาลง เราก็เลยได้ของถูกๆมาเพียบเลย
ทั้งซูชิ ปลาหมึก ปลาทอด สตรอเบอรี่ เมล่อนปัง ซึ่งบอกได้เลยว่า
อร่อยทุกอย่าง เว้นเมล่อนปังโยว์ไค....ไม่อร่อย
กินเสร็จก็ไปอาบน้ำ ไปเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่
เดินออกไปไฟติดเอง พอลับหลัง ไฟดับเอง นับเป็นการประหยัดไฟอย่างที่สุด
ส่วนน้ำอาบ ก็เป็นแบบกด แล้วอาบ ไม่มีการเปิดแช่ อาบไม่ทัน ไม่พอ กดใหม่ได้
เราก็ยืนกดๆไปอย่าสนุกสนาน ก็มันแปลก ที่บ้านไม่มี
ออกจากห้องน้ำ ก็เข้าห้องนอน หลับแบบไม่ต้องนับ เหมือนหนึ่งโดนพี่บัวขาว
ต่อยเข้าหน้า หลับตั้งแต่นับถึงสาม....




วันที่ 2
ตื่นมาก็เจอกับเหตุการณ์ที่คาดไว้ว่าน่าจะต้องเจอ คือ ฝนตกครับ
ตารางวันนี้เลยรวนหมดทุกสถานที่ เรียกว่าต้องจัดตารางใหม่ทั้งหมด
ในตอนแรกก็วางแผนไว้ว่าจะเดินทางไปยังทะเลสาบคาวาคุชิโกะ
เพื่อไปดูภูเขาไฟ ฟูจิ แล้วก็กลับมามืดๆน่าจะครบวัน
แต่พอฝนตก ก็กลายเป็นว่าแพลนการดูฟูจิต้องเอาออก เพราะต่อให้ไปถึงฟูจิ
ถ้าฝนตก ฟูจิงซังซามะ ไม่จะแอบอยู่หลังก้อนเมฆ ไม่ยอมออกมาให้เราได้เห็นเป็นอันขาด
ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนแพลน โดย มุ่งหน้าไปสำรวจชิบุย่า กับฮาราจุกุแทน
ออกจากโรงแรมก็มุ่งตรงไปยังชิบุย่าก่อน จากนั้นก็เดินสำรวจเรื่อยๆสุ่มเดินไป
เดินๆไปพักเดียวก็ได้กลิ่นกาแฟ จานั้นก็อย่าที่บอก มันไม่มีแพลนนะ
ก็เลยเดินตามกลิ่นกาแฟลงไปยังใต้ตึก แห่งหนึ่ง ไปเจอร้านกาแฟที่จริงๆแล้ว
บนดินก็มีเยอะแยะ คือร้าน Truly coffee ก็เลยตัดสินใจกินกาแฟและอาหารเช้ากันที่นี่
จบมื้อเช้าก็ออกเดินต่อไปยังชิบุย่า ไปเจอตึก Taito game Center โดยบังเอิญเลยโดน
ดูดตังไปประมาณหนึ่งจากเครื่องคีบ หรือที่เรียกว่า UFO Catcher
และก็ไม่ได้อะไรมาเลยด้วย แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ดีมา
ออกจากตึกดูดตังก็เดินข้ามถนนไปเจอกับตึกดงกิ สาขาชิบูย่า หาซื้อนนู่นนี่
สักพักก็ไม่ได้อะไร เพราะมันดูเหมือนจะเป็นร้านขายของไร้สาระซะเยอะ
เลยเปลี่ยนใจออกมาจากชิบุย่า ไปอากิบะแทน นั่งรถไฟออกมาสักแปปก็เหมือนเดิม
งงทาง นึ่งนึกๆอยู่สักแปปก็จับทางได้เลยเดินเลาะๆรางรถไฟมาจนถึงหน้าสถานี Akihabara
จวนๆจะถึงหน้าสถานีก็เริ่มตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะจะได้เห็นในสิ่งที่อยากจะเห็นเป็นอันดับสอง
ของการเดินทางมายังที่ญี่ปุ่นนี้แล้วคือได้เห็น "AKB48 Cafe" ที่ตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟ
Akihabara เอาจริงก็เอ๊ะเดินหลงๆอยู่สักพัก เดินไปๆมาก็อ้าว มาโผล่ข้างๆ
AKB48 Cafe โดยบังเอิญ มาถึงปุ๊บก็ยืนตะลึงอยู่สักพัก และคิดในใจว่า อ่ะ มาถึงละนะ
ได้มาเห็นกับตาละนะว่า AKB48 Cafe เป็นอย่างไร อยากจะกระโดดไปเกาะหน้าป้าย
นานๆและตะโกนเรียกชื่อเมมเบอร์สักคนเผื่อว่าจะอยู่แถวนั้นแต่ก็ไม่กล้าทำกลัวจะไม่ได้
กลับบ้านก็เลยได้แต่ลูบๆคลำๆ จับตึกAKB48 Cafe และบังเอิญช่วงนั้นเป็นช่วง
ใกล้เลือกตั้งด้วย คนเลยมาที่ AKB48 Cafe กันเยอะเป็นพิเศษ ทุกคนมาดูว่าโอชิ
ของตัวเองนั้นได้ลงเลือกตั้งหรือไม่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก
อย่างว่า ราคาของที่ระลึกโหดร้ายมาก มีเอาไว้สำหรับโอตะรวยๆเท่านั้น
แน่นอนโอตะใส้แห้งซารารี่แมนจากประเทศไทยก็โดนเหมือนกันไปหลายชิ้นอยู่
ได้เสื้อมายุ โปสเตอร์มายุ เข็มกลัดรูปลูกสาวที่ไม่มีในชีวิตจริง หนูเมรุ มา ก็นะเฮ้ออออดีใจ
เดินซื้อของนู่นนี่นั่นจนเมื่อยก็เริ่มไม่รู้แล้วว่าจะซื้ออะไรต่อเพราะมันแพงเหลือเกิน
สุดท้ายออกไปข้างๆคาเฟ่ ไปกดกาแฟร้อนกระป๋องมาหนึ่งกระป๋อง
ของยี่ห้อ Wonda (สาวๆเคยรับโฆษณายี่ห้อนี้อยู่) เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินเก็บภาพทั่วๆไป
ของคาเฟ่และบรรยากาศรอบๆ ก่อนจะบอกลาAKB48 Cafe และสัญญาว่าจะมาอีก
หรือถ้าไม่มาที่นี่ ก็จะไปให้ครบทุก Cafe ทั่วญี่ปุ่นเลย
(HKT อยู่ฟุกุโอกะ NMB อยู่โอซาก้า SKE อยู่นาโกย่า  NGT อยู่นีกะตะ)







จากนั้นก็เดินเล่นเก็บภาพไปทั่วๆสักพัก ก็เดินข้ามไปฝั่งตรงข้าม
มีร้าน Hobby off อยู่ใต้ตึกก็ได้เสียตังอีกเพราะไปเจอเอากันดั้มอีกสองตัว
แถมไปรื้อของเขา ได้รูปเด็กจูกับรุอิโคมะจังมาด้วยอีก เอา จ่ายๆไป
ออกจากอากิฮะบาระก็มุ่งหน้าไปยังสถานีโตเกียวเพื่อไปสำรวจย่านมารุโนอุจิ
สถานีโตเกียวเป็นสถานีรถไฟกลาง ก็ประมาณหัวลำโพงบ้านเรานี่แหละ
เป็นสถานที่รวมรถไฟหลายๆประเทศไว้ทั้ง Shinkansen, Jr,Keisei, Marunouchi สายสีแดง
ตัวอาคารมีสามชั้น ชั้นบนเป็นโรงแรม ชั้นกลางหรือชั้นพื้นเป็นสถานีรถไฟของเจอาร์
กับชินคันเซน ชั้นใต้ดินเป็นส่วนช๊อปปิ้งและร้านค้าร้านอาหารต่างๆ เราก็เริ่มจับจ่าย
ของฝากของขวัญกันที่นี่แหละไอ้ที่น่ารักๆเช่น หมีรีแลคคุมะ คิ๊ตตี้ อะไรก็อยู่ที่นี่
พอเริ่มจะเย็นๆ ก็นั่งรถไฟไปตลาดอาเมโยโกะ เดินสักพักแต่ไม่ได้อะไร
ก็เลยกลับไปอากิบะอีกรอบ(ติดใจนักหนา) ก็มืดพอดีเลยได้ไปเดินชมยาน
อากิบะตอนกลางคืน ไปดู AKB48 Cafe ตอนกลางคืนว่ามันสวยแค่ไหนอแต่
ยังไม่วายเดินหลงๆอยู่อีก เดินไปเดินมาก็ไปเจอร้าน LIBERTY ร้านจำหน่าย
สินค้าเกี่ยวกับไอดอลชื่อดัง เลยถล่มกันจนหมดตัวที่ร้านนี้
เพราะสิ่งที่มาตามหา คือยูนิทในดวงใจ watarirouka hashiritai 7 มารวมกันอยู่
ที่ร้านนี้ทั้งหมด พอได้ของครบก็เดินทางกลับมินามินามิเซนจู เข้านอนฝันดีไปอีกคืน






แม่ของอากิบอกว่า "เราให้กำลังใจเขาน่ะ เท่ากับเราให้กำลังใจตัวเองด้วยนะ"
"เด็กๆพยายามที่จะขึ้นมายืนแถวหน้า ทั้งฝึกหนัก ทั้งทำงาน อดทน
เพื่อที่จะกลายมาเป็น center แล้วเมื่อเราส่งกำลังใจให้เด็กๆ ก็เท่ากับว่า เราต้อง
พยายามใช้ชีวิตของเราให้ดีด้วยเหมือนกัน"



วันที่ 3
ออกสายได้วันนี้ ตารางไม่ได้เร่งรีบ แต่ก็หกโมงเช้า แดดเปรี้ยงมากยังกะ
สิบโมงบ้านเรา ออกไปเบียดรถไฟใต้ดินกับชาวโตเกียวสักสามสิบนาทีก็ไปลงที่สถานี
ตลาดปลาซึคิจิ  ตลาดขายปลาชื่อดังของญี่ปุ่น คือถ้ามาโตเกียวก็ต้องมาซึคิจิ
เปรียบเหมือนมากรุงเทพ ต้องไปสนามหลวง ประมาณนั้น ไปถึงก็ต้องไปไหว้พระก่อน
คือคนไทยน่ะ ศาสนาเป็นเรื่องสำคัญอยู่ โดยอย่างยิ่งญี่ปุ่นับถือศาสนาพุทธ
ถึงจะคนละนิกายก็เป็นศาสนาพุทธ เราให้ความสำคัญกับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ
ดังนั้นเมื่อไปไหน เราจึงเลือกที่จะไปไหว้สิ่งที่คนพื้นที่เขาเคารพนับถือด้วย
เพื่อเป็นศิริมงคลกับตัวเองยามเดินทาง ไปถึงศาลเจ้าซึคิจิ
เราก็ไปไหว้พระ ไปทำบุญ จากนั้นก็เดินสำรวจตลาดรอบๆ และซื้อของฝากอีกชุดใหญ่
เจอลุงปลาหมึก เจอร้านขายใข่ม้วน เจอลุง"ไม่ได้" เจอพระแบบที่เห็นในอิ๊กคิวซัง
และก็ได้รับพรจากท่านด้วยเพราะเราเอาเงินไปใส่ให้
และก็เดินต่อไปหาของกิน แต่ไม่ไหวร้านดังๆนี่คิวยาวๆทั้งนั้นเลยตัดสินใจหิ้วท้องไปกิน
ที่สถานีโตเกียวดีกว่า ไปถึงสถานีโตเกียว ก็ฝากของไว้ในล๊อกเกอร์ ตรงนี้แหละจุดเริ่มต้น
ของความสนุกแบบเหนื่อยๆ พอฝากของเสร็จก็ออกจากสถานีขึ้นมาที่ชั้นหนึ่ง เพื่อมา
ซื้ออาหารก็คือ "ข้าวกล่องรถไฟ หรือ เอกิเบน 駅弁" ของสถานีโตเกียวคนละกล่อง
駅弁 นี่คือข้าวกล่องที่คนที่จะขึ้นรถไฟสามารถซื้อตามสถานีต่างๆ เพื่อเอามากินบนรถไฟ
เวลาหิวได้ อ้อ ที่มาซื้อนี่ไม่ใช่อะไร เรากำลังจะไปขึ้นรถไฟที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์
อย่างหนึ่งของประเทศ มันคือ Shinkansen คือถ้ามาก็ต้องได้ขึ้นสักครั้งแหละว่ามันเร็ว
ขนาดไหน ขวบนที่เราขึ้นเป็นShinkansen รุ่นซีรีย์ N700 ชื่อขบวน โนโซมิ のぞみ วิ่งจาก
สถานี Tokyo ไปถึงสถานี Shin-Osaka ที่ Osaka และสุดสายที่สถานี Hakata ที่ Fukuoka
ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รวมระยะทาง 515 กิโลเมตร ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ก็คงราวๆกรุงเทพพิษณุโลก
ซื่งรถไฟไทยก็ราวๆ หกชั่วโมง นานกว่านั้นเยอะ คุ้ม!!! เรานั่งจากสถานีโตเกียว ไปลงที่สถานี
โยโกฮาม่า ใช้เวลายี่สิบแปดนาที คือยังไม่ทันได้สัมผัสความเร็วสูงสุดก็ลงละเฮ้อ พออกจาก
โยโกฮาม่า ก็เดินออกไปข้างๆสถานี่ แกะเอาข้าวกล่องมานั่งกินกันอย่างเพิดเพลิน
มีความสุข พอกินเสร็จก็เดินวนๆแถวสถานีสักพัก ก็ขึ้นรถไฟกลับ มาที่สถานีโตเกียว
หลงไปหลงมาด้วยความช่วยเหลือของชาวญี่ปุ่หลายๆคน ที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
แต่ก็มาถึงได้อย่าทุกลักทุเล คนโตเกียวบางคนนี่น่ารักมาก
ก็ไม่ได้เย็นชา อย่างที่มิซึงุจิซังเขาว่าไปซะทุกคนหรอก ต่อมาการค้นหาของที่ฝากไว้ใน
ล๊อกเกอร์ก็เริ่มขึ้น จากที่จำได้ว่าฝากไว้ตู้นี้ ก็หาๆกันไป หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เอากุญแจ
ไปถามคนเฝ้าสถานี ก็ไม่รู้ ถามตำรวจในโคบัง ก็สื่อสารไม่เข้าใจ ถามยามก็ไม่รู้
สุดท้ายผ่านไปสองชั่วโมงเริ่มถอดใจ ก็เลยลองไปถามคุณตำรวจหญิงดูทั้งๆที่สื่อสารกันไม่ได้
คุณตำรวจหญิงก็พาไปซื้อตั๋ว แลวบอกให้เข้าไปในสถานี ก็เลยเริ่มนึกได้ว่า
ตู้ที่เราฝากอยู่ในสถานี่ไม่ได้อยู่นอกสถานี คือต้องจ่ายเงินก่อน ถึงจะเข้าไปได้
ก็เลยเข้าไปตามที่คุณตำรวจบอก แต่พอเข้าไปได้ก็หลงอีก แต่อาศัยว่าฝึกภาษาเกี่ยวกับ
การพูดถามทิศทางมาบ้าง ก็เลยตัดสินใจถามเอากับคุณลุงคนกวาดสถานี คุณลุงอธิบายให้ฟัง
ยาวเหยียด จับใจความได้ว่าตรงไป เลี้ยวขวาของสถานี และ คำว่า (南) みなみ
คำนี้แหละที่เป็นคีย์เวิร์ดที่ทำให้หาเจอ มันแปลว่าทิศใต้ เลยขอบคุณคุณลุง
แล้วรีบวิ่งไปตามที่คุณลุงบอก สุดท้ายก็เจอจริงๆพอได้ของ ก็เลยวิ่งกลับมาขอบคุณ
คุณลุงอีกรอบที่บอกทางให้ โค้งไปหลายรอบ คุณลุงก็ดีใจด้วยไปกับเรา พออกมาก็นะหลงอีก
แต่ก็กลับมาได้เลยมาขอบคุณ คุณตำรวจหญิงที่เธอก็ดีใจไปกับเราอีกเหมือนกัน
ใช้เวลาไปทั้งสิ้นสองชั่วโมงกว่าในการตามหาของฝาก





จากสถานีโตเกียวตอนนั้นหมดแรงแล้วหละ แต่ก็อดทน เพราะอีกที่ที่ยังต้องการไปให้ถึงคือ
Tokyo tower หอโตเกียว ที่เป็นหอส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์แห่งแรกของญี่ปุ่น ไปถึงก็
เอามือลูบหนึ่งทีแล้วกล่วในใจว่า มาถึงละนะ และสัญญาว่าจะมาอีก นั่งพักและถ่ายรูปแถวๆสถานีโตเกียวอยู่สักแปป ก็เดินทางต่อ เพื่อไปยังอีกสถานที่ที่อยากมามากๆ เพื่อมาให้เห็นกับตา
คือ Tokyo Dome เช่นเคย ด้วยความช่วยเหลือของคุณลุงเสียงดังผู้ใจดี ที่ช่วยเป็นธุระเดินไปถามทาง
ที่จะออกไปยังสถานี่ที่จะสามารถเดินไปยังโตเกียวโดมให้กับเราได้ ออกมาเห็นก็ดีใจนะ ว่ามาถึง
แล้วนะ ท่านโซคันโตคุ ผมมาถึงสถานที่ที่ท่านโซฯ ชวนผมมาละ ผมเดินไกลว่าท่านโซฯนะ
ท่านโซฯ เดินมา 1837 เมตร ผมเดินไปไกลว่านั้นแล้ว แอบขำอยู่ก็เพราะหลง เดินชมสถานที่
ที่เป็นดั่งความฝันของศิลปิน นักร้องทุกคนที่ปราถนาจะมาเล่นคอนเสริต์ ที่นี่ เพราถ้าได้มาที่นี่
นั่นหมายถึง ชีวิตในการเป็นศิลปิน ได้มาถึงจุดที่สูงสุดแล้ว เราก็ยืนซาบซึ้งอยู่สักพักก็รีบเดินทาง
ต่อไปอีก เพราะยังมีอีที่หนึ่ง ที่ต้องไปให้ได้ คือตึกดงกิ อากิฮะบาระ
ไปถึงอากิบะก็ค่ำละ ตอนนี้นัดกับปลาว่าให้คนละ หนึ่งชั่วโมง แยกย้ายกันไป
แล้วมาเจอกันหน้าตึกดงกิปลาไปช๊อบปิ้ง เราก็ไปตามความฝันก้อนสุดท้าย คือไปยังตึกดงกิ
ชั้นแปด ไปดูจุดเริ่มต้นของ "กลุ่มไอดอลที่สามารถไปพบได้" มาถึงก็เจอมายุ อั๊ตจัง กลุ่มเทพเจ้า
ทั้งเจ็ด(Kami 7)มารอรับอยู่ที่หน้าตึก น้ำตาคลอเลย จากนั้นก็ขึ้นๆ ไปที่ชั้นเจ็ด ไปไม่ถึงชั้นแปด
เพราะติดมีโคเอ็นในวันนั้น คนไม่มีตั๋วห้ามขึ้น ก็เลยได้แต่ส่งสายตาขึ้นไปที่ชั้นแปด
ว่ามาละนะ มายังจุดเริ่มต้นของ AKB48 แล้วนะ เกือบได้เห็น "Stage 48 " แล้วด้วย แต่คงยัง
ไม่ใช่วันนี้ แต่ไม่เป็นไร จะพยายามมาอีก แล้วเข้าไปให้ได้สักครั้ง




ออกมาจากตึกก็เดินไปซื้อแผ่นของ  渡辺みゆき มาอีกแผ่น แวะตึกม่วงหาของ เจอแต่ของสายโหดๆราคาโหดร้าย เลยได้แต่มอง สุดท้ายเลยกลับที่พักอย่างเหนื่อย แต่มีความสุข
คืนนั้นฝันเห็นเจ้าหญิงแห่งซาคะเอะมายิ้มให้ ชวนไปเที่ยวนาโกย่า !!!




วันที่ 4
ตื่นสายได้เพราะจะ Check out แล้ว อาบน้ำอาบท่า แต่ตัวหล่อ เตรียมย้ายจังหวัด
ออกจากที่พัก โรงแรม Hotel Palace Japan แห่ง みなみせんじゅ ก็บอกโอบ้าจังใจดีเจ้าของ
เลยเอาหนังสือคู่มือการท่องเที่ยวโตเกียวฉบับภาษาไทยทิ้งไว้ให้ เพราที่ล๊อบบี้เห็นมี
คู่มีภาษาอังกฤษ เกาหลี จีน เวียดนาม แต่ไม่มีภาษาไทย เลยมอบไว้ให้ โอบ้าจังดีใจมาก
บอกว่าจะพยายามอ่านมัน แล้วเราก็บอกลาโอบ้าจัง ลากกระเป๋า มาขึ้นรถไฟที่สถานีโตเกียว
งวดนี้ฝากของไว้กันลืมแบบไม่พลาดแน่อนอน อิอิ จำได้ ออกจากสถานีก็เดินเท้ามายัง
ย่านมารุโนะอุจิเพื่อไปเที่ยวที่พระราชวังอิมพีเรียล วันนี้ร้อนมาก เดินๆกลางแดดก็เหนื่อยเร็ว
เลยเดินไปไม่ถึงยังจุดที่อยากไป คือบุโดกัน ทางเหนือของพระราชวัง จริงๆอีตอนดูใน
แผนที่มันนิดเดียวนะ แต่ของจริงนี่สุดไกล เลยท้อใจ ไปแค่สวนในปราสาท แล้วก็กลับ
เพราะต้องไปจังหวัดชิบะ ที่ห่างไปหกสิบกิโล เพื่อย้ายโรงแรมไปนอนใกล้ๆสนามบิน
ออกจาโตเกียวคราวนี้นั่งรถไฟธรรมดา ไปชิบะ ไปลงที่สถานีนาริตะ สถานีที่ชื่อเดียวกับ
สนามบิน เพื่อเข้าพักที่โรงแรม APA Narita เช็คอินเสร็จก็อาบน้ำ ได้แช่น้ำร้อนที่นี่แหละ
หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ลองนั่งรถไฟ ไปที่สนามบินนาริตะ เพื่อไปสำรวจว่าพรุ่งนี้เช็คอินอย่างไร
ทันหรือไม่ แล้วก็ไปหาข้าหาปลากิน ได้กินซูชิร้านน้องแพ็ตตี้ ที่ชั้นสองเทอมินัลสอง กินเสร็จ
ก็นั่งรถไฟกลับโรงแรม เข้านอนอย่างมีความสุขอีกวัน






วันที่ 5
ตื่นตีสี่เลยวันนี้ รีบมากเพราะถ้าไม่รีบพลาดรถโรงแรมแม้แต่วินาทีเดียวเป็นอันตกเครื่องบิน
ได้อยู่ญี่ปุ่นอีกวันแน่นอน เครื่องออกเก้าโมง เช็คอิน แปดโมง รถมารับเจ็ดโมงสิบห้า
คือทุกอย่างนี่รีบไปหมดนะ เลยตัดสินใจตื่นมารอหน้าโรงแรมเลยกันพลาด ลงมาก็เหมือนเดิม
เผชิญกับมนุษย์ทัวร์จีน ล้งเล้งช้งเช้งอยู่ในล๊อบบี้ เลยตัดใจออกไปยืนหนาว
ที่หน้าร้าน Lawson แทน พอเจ็ดโมงสิบห้าเป๊ะ รถมาปุ๊บ เจ็ดโมงครึ่งปุ๊บ ออกปั๊บเช่นกัน
เรียกว่าตรงเวลากันทั้งประเทศทุกพาหนะ อยากให้เมืองไทยเป็นแบบนี้บ้างจังเลย
รถวื่งพาเราชมเมืองราวๆยี่สิบนาทีก็มาถึงสนามบิน เราก็จัดการไปเช็คอิน เพื่อความปลอดภัย
ว่าได้กลับบ้านแน่ ไม่ต้องเป็นมนุษย์กล่อง พอแปดโมงครึ่ง Gate เปิดก็รีบเดินไปรอข้างใน
คนไทยเยอะมาก แต่ก็เหมือนเคย คนจีนเยอะกว่า เราเจอคนจีนจนกลัวไปหมด
แต่เอาเข้าจริงๆก็คนไทยก็มี ที่เจอ แซงคิว คุยเสียงดัง นั่งที่เฉพาะบนรถไฟ
ก้มหน้าก้มเล่นโทรศัพท์ไปขวางทางคนเดินในรถไฟ และอีกเยอะเล่าไม่หมด



เครื่องออกเก้าโมงสิบห้า ตรงเวลาอีกเช่นเคย คราวนี้หลับยาวหน่อย เพราะเหนื่อย
ตื่นมาก็ดอนเมืองเลยคนขับมีปัญหานิดหน่อย ขับไม่คล่องเท่าไหร่ ตกหลุมบ่อยไปนิด 555
สุดท้าย ทริปนี้เป็นทริปที่สนุกมาก และมีความสุขมาก ได้มายังที่ที่อยากมา เห็นในสิ่งที่อยากเห็น
และเป็นความฝันที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ได้มากับคนที่เรารัก ได้ทำในสิ่งที่คนอีกหลายคนไม่ได้ทำ
สัญญาว่าจะมาอีกนะเด็กๆ แต่อากิบอกว่า "เวลาอยู่โตเกียว อากิจะมืดมน เก็บตัว จืดจางและไม่มั่นใจ"
ไม่เป็นไร
"...งั้นเจอกันที่ใต้ต้น鈴懸の木 หน้าสถานี かごしま วันที่ 22 เดือนพฤศจิกายน ปี 2559 แล้วกันนะอากิ"


................................................





 





โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด