กลิ่นเมือง





นานๆทีผมจะเข้ามาเขียนเรื่องสักหน
จริงๆอยากเขียนมันทุกวันนั่นแหละ แต่บางทีจิตนาการ
ความอยากเขียน มันเกิดขึ้นตอนที่เรามักจะไม่พร้อมที่จะบันทึก
บางทีผมเดินๆอยู่ริมถนน ริมทาง พักนี้เดินบ่อยเสียด้วย
เนื่องจากย้ายที่ทำงาน จำเป็นต้องเดิน เพื่อประหยัดเงิน
บางทีก็มองเห็นความงดงามริมทางที่เดินผ่าน
มองเห็นความสงสารที่แล่นเข้ามาเมื่องมองเห็ภาพชีวิตริมถนน
บางทีก็สะเทือนใจ บางทีก็สุขใจเล็กๆน้อยๆกับแปลงดอกไม้เหี่ยวๆ
ที่ขั้นอยู่ระหว่าซอกตึกสองตึก แต่ก็นั่นแหละ 
จะหาปากกากับกระดาษมาจากไหนทั้งๆที่กำลังเดินอยู่ มันไม่มี
ก็ต้องใช้สมองนี่แหละพยายามเก็บๆ ขยับๆ จัดวางพื้นที่ความรู้สึก
ที่ได้พบได้เห็นเอาไว้ในซอกเล็กๆ เพื่อว่าหากมีเวลาและอารมณ์
ก็สามารถหยิบเอาปากกา หรือกางคอมพิวเตอร์ขึ้นมา และยกเอา
สิ่งที่พบเห็นที่เก็บไว้มาบันทึกลงไปให้เป็นเรื่องเป็นราว
อย่างเช่นวันว่างวันนี้เป็นต้น

มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยมานาน มันเป็นความสงสัยทางวิทยาศาสตร์
แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปค้นหาคำตอบอะไรจริงๆจังๆหรอก เพราะถึงได้คำตอบมา
ผมก็แปลความหมายทางวิทยาศาสตร์ออกมาเป็นภาษาคนไม่ได้ดีเท่าไหร่
เรื่องที่ผมสงสัยคือ ทำไมคนเราจำกลิ่นได้ 
คำว่าจำกลิ่นได้ในความหมายของผมก็ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นว่า 
เราได้กลิ่นอะไรบางอย่างแล้วเราสามารถบอกได้ว่าเอ๊ะ นี่มันกลิ่นดอกมะลินะกลิ่นนี้
นิ่งกลิ่นหมูปิ้งร้านข้างบ้านนะ หรือเอ๊ะนี่กลิ่นมันกลิ่นน้ำหอมของเมียเรานี่หว่า เป็นต้น
แต่กลิ่นที่ผมจะกล่าวเป็นหัวเรื่องในคราวนี้ เป็นเรื่องของ "กลิ่นเมือง" ครับ
ผมไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ยังไง รู้แต่ว่ามันคือกลิ่น ที่ผมได้พบ ได้กลิ่น ที่มันกำซาบ
เข้าไปในสมองทันทีที่ได้กลิ่นนี้สามครั้ง สามหน ตลอด 45 ปี
ของอายุขัยที่ยังไม่หมดลงของผม

ครั้งแรกที่ผมได้กลิ่นนี้คือตอนที่เดินทางไปร่ำไปเรียนปริญญาโทที่ออสเตรเลีย
จำได้แม่นๆว่ากลิ่นที่ผมได้ดมครั้งนั้นคือเช้าวันแรกที่เดินทางเข้าไปยังกลางเมือง
กลางมหานคร Sydney คือกำลังเดินๆอยู่แล้วก็ต้องตกใจว่า เฮ้ย นี่คือกลิ่นอะไร
เป็นกลิ่นที่ตอนอยู่กรุงเทพ อยู่ประเทศไทย ใช้ชีวิตมาสามสิบกว่าปี(ในตอนนั้น)
ผมไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อน จะให้ฟังดูง่ายคือ ไม่เคยรู้จักกับกลิ่นแบบนี้มาก่อน
มันเป็นกลิ่นที่ชวนให้หยุดดม หัวใจเต้น หอมแบบเก่าๆ แต่ทึบตัน ถ้ามันมีสี
ผมอนุมานว่ามันคงเป็นสีเทาๆ เหมือนได้กลิ่นหนังสือเปียกๆที่ถูกตากแดดไว้
แต่กลิ่นมันดีกว่านั้น ตลอดวันที่ผมเดินวนๆอยู่ทั้งวันแถวๆนั้น 
ผมได้กลิ่นนี้อยู่ตลอดเวลาจะหมดกลิ่นหรือจางไป
ก็ต่อเมื่อผมนั่งรถไฟออกไปจากกลางเมือง
และก็จะกลับมาสูดดมมันอีกครั้ง ยามที่เข้ามาเรียนยังกลางเมืองในทุกวัน
แต่นั่นคือครั้งแรกที่ผมกับกลิ่นนี้ทำความรู้จักกันผ่านจมูกอันใหญ่ๆของผม
ผมเลยคิดว่า มันอาจเป็นกลิ่นของอะไรสักอย่าที่ล่องลอยไปมาอยู่ในเมืองนี้ละมั๊ง
คงไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นกลิ่นอะไรมากมาย 
แล้วผมก็ปรับตัวชินๆกับกลิ่นนั้นไปตลอดเวลาสามปีแปดเดือนที่ดำรงชีวิตอยู่ในออสเตรเลีย

หลังผ่านไปอีกนับได้สิบสองปี ผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่น 
ดังเรื่องราวที่เขียนเอาไว้ก่อนหน้า วันแรกที่ผมเหยียบเท้าลงจากรถไฟเข้าเมือง
ที่แล่นจากสนามบินนอกเมืองห่างจากโตเกียวไปหกสิบกิโล 
พอผมก้าวเท้าลงรถไฟที่สถานีอุเอะโนะ สถานีย่านกลางกรุงโตเกียวเพียงก้าวที่ไม่เกินสิบ
ผมก็เกิดอาการขนลุก ครับ ขนลุก ไม่ได้เจอผีเจอสางอะไร แต่ผมเจอกับ "กลิ่นเมือง" ที่ว่า
กลิ่นที่สมองของผมเอาข้อมูลนี้ไปแอบไว้ในกองซากความทรงจำนานเมือเกือบสิบปีกว่ามาแล้ว
จู่ๆ กลิ่นที่ว่าก็ถูกส่งคืนเข้ามาในระบบสองของผมอีกครั้งอย่างฉับพลัน และไม่ทันตั้งตัว
ผมหยุดเดินครับ หันรีหันขวางมองดูทางนู้นทางนี้อยู่สักสิบลมหายใจเข้าออก 
เพื่อหาดูว่าต้นทางหรือที่มาของ "กลิ่นเมือง" ที่ว่านี้มาเริ่มมาจากตรงไหน 
มันผุดหรือลอยมาจากที่ใด จะกระทั่งเพื่อนร่วมทางเดินมาถามว่าหยุดทำอะไร 
ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร ได้แต่สั่นหัวและออกเดินต่อ พร้อมกับสูด "กลิ่นเมือง"
ที่ว่าไปตามทางจนกระทั่งเข้าโรงแรมที่พักนั่นเป็นครั้งที่สองของการได้ "กลิ่นเมือง" ที่ว่านั้นครับ

จริงๆผมก็ไม่ได้จะคิดว่าจะต้องตั้งชื่ออะไรให้กับไอ้กลิ่นที่ผมได้มานี่หรอก 
เพียงแต่เมื่อมันมีครั้งที่สามผมจึงต้องหาชื่อเอาไว้เรียกมันสักชื่อ 
เผื่อว่าวันนึงไปไหนและพบเจอกับเจ้ากลิ่นนี้อีก จะได้เรียกชื่อ เรียกนามกันถูก 
และหรือในอนาคตมีคำตอบที่ว่า หรือสามารถสังเคราะห์กลิ่นที่ว่าออกมาเป็นขวด 
เป็นน้ำหอมได้ ผมก็จะขออนุญาตเป็นบิดาแห่งกลินที่ว่า 
เนื่องด้วยเป็นคนค้นพบกลิ่นดังกล่าวคนแรก และจารึกไว้เป็นเกียรติแห่งวงศ์ตระกูลกับเขาบ้าง
ครั้งที่สามนี่ผมเจอกับกลิ่นเมืองนี้ที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรนี้ละครับ 
เมื่อสักไม่นานเท่าไหร่เสียด้วยราวๆสามสี่เดือนเพลาเที่ยงๆวันแถวๆย่านที่เรียกว่าย่านพาหุรัด
มาคราวนี้ผมไม่ตกใจแล้วครับ เพราะผมกับกลิ่นเมืองน่าจะรู้จักกันมาพอสมควรแล้ว
แต่มันแค่ทำให้ผมหยุดชะงัก และยืนสูดดมกลิ่นที่ว่านี้อยู่สักพักใหญ่ 
สมองก็เริ่มที่จะแปลความหมายของกลิ่นออกมาเป็นข้อความ 
เสียดายตอนนั้นไม่มีปากกาหรือกระดาษอะไรเอาไว้ให้จด ก็เลยต้องใช้วิธีจำข้อความจากการแปลความหมายนั้นออกมาไว้ก่อนว่าผมรู้คำตอบแล้วว่ามันคือกลิ่นอะไร 
แล้วก็ออกเดินดมกลิ่นนั้นไปเรื่อยๆ จนมันจางหายไปเอง
กลิ่นเมืองของกรุงเทพนี่สั้นนะครับ ไม่ได้ยาวหรือนานเป็นวัน 
เป็นเดือน เหมือนกลิ่นเมืองของที่ญี่ปุ่นหรือของที่ออสเตรเลีย มันมีแค่ห้วงประมาณหนึ่งช่วงถนน
เมือข้ามจากตึกหนึ่งไปยังอีกตึกหนึ่ง กลิ่นเมืองที่ว่าก็หายไปเมือเดินพ้นออกมา

เมือกลับมาบ้าน ขณะทีกำลังอาบน้ำในใจผมก็คิดชื่อให้กลิ่นนี้เมื่อขณะร่างกาย
โดนสบู่ตราลุงแขกใส่แว่นถูลงไปบนแขน ผมได้ชื่อกลิ่นเมืองมาจากการนี้แหละครับ
ส่วนคำตอบของกลิ่น ผมว่าผมพบมันแล้วหลังจากได้ "กลิ่นเมือง" นี้ในครั้งที่สาม
มันคือ "กลิ่นของเมืองหลวง" ครับ ใช่ Sydney อาจไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศออสเตรเลีย
แต่ก้ใหญ่กว่าเมืองหลวงของออสเตรเลียอีกร้อยพันเท่า
Tokyo แน่นอนครับ เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น และกรุงเทพมหานคร
ก็เป็นเฉกเช่นนั้นเหมือนกันคือเมืองหลวงของประเทศไทย
เมื่อเอาข้อความที่ผมได้จากสามแห่งมาคลี่วางออก
ผมก็อนุมานเอาว่าไอ้เจ้ากลิ่นเมืองที่ได้กลิ่นนี้มันคงเป็นกลิ่นของชีวิตของคนในเมืองอันเร่งรีบนี่แหละ
จะว่ามันหอมมันก็ไม่ได้หอมมาก จะว่ามันเหม็น
ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันอย่างนั้น เพราะเมื่อได้รวบรวมความหมายออกมา
มันก็แปลออกมาได้ทำนองนั้น
กลิ่นที่มีแต่เฉพาะในเมือง
กลิ่นที่เมืองผลิตออกมาหลังจากการขับเคลื่อนด้วยเฟืองมนุษย์
กลิ่นมนุษย์ที่วิ่งวุ่นวายอยู่ที่ชานชาลารถไฟ
กลิ่นไหม้ของห้ามล้อรถยนต์ที่ต้องหยุดๆวิ่งๆตลอดเวลาในเวลาเร่งด่วน
กลิ่นของควันไอเสียจากพาหนะ ทั้งที่อยู่บนบก ในน้ำหรือแม้แต่ในอากาศ
กลั่นรวมตัวกันออกมาเป็นกลิ่นที่ไม่มีให้ได้สูดในเมื่องป่า ย่านภูเขา
แต่พบได้ที่แต่ในเมืองเพราะมันคือ
กลิ่นเมือง


......................................................












โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด