สวนบ้านตา





ตาผมเป็นหมอทหารเรือ
เรื่องยาวๆของตานั้นมีความทรงจำอยู่ไม่มากเท่าไหร่ในหัวของผม 
จำแต่ว่าตาเป็นผู้ชายตัวดำๆที่ส่งต่อความดำนั้นมาเป็นมรดกแด่ผมในปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตาจะอยู่ในที่สถานที่สามที่นี้ไม่แห่งใดก็แห่งหนึ่ง
ที่แรกก็ในบ้าน ในห้องตรวจโรค หรือที่ผมและคนในบ้านจะเรียกว่า ห้องยา
คือเป็นห้องราวๆสักสามเมตรคูณห้าเมตร
มีตู้เก็บยาเป็นร้อยๆพันๆชนิดอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง
ส่วนในสุดของห้องก็จะเป็นเตียงตรวจโรค กับเตาแก็ส
ใช้ต้มเข็มต้มยาปรุงยาอะไรสักร้อยพันที่ผมไม่รู้จัก
ซึงถ้าไม่มีคนใข้มาหาให้ตารักษา ตาก็จะอยู่ในห้องนี้แหละ
นั่งจดๆอ่านๆปรุงยาอะไรไปเรื่อยๆจนหมดวัน

ที่ที่สองก็เป็นบนโคก ไอ้โคกนี่จริงๆมันเป็นภาษาหยาบๆหน่อยของชาวบ้าน
จริงๆมันคือสวนข้างบ้านนี่แหละครับ กว้างยาวสักเท่าไหร่นี่ผมไม่แน่ใจ
ถ้าจะให้กะก็ประมาณไร่เดียว 
บนโคกตรงกลางมีเล้าเป็ดเก่าๆอยู่หนึ่งเล้า 
ตาผมเป็นคนมือเย็น
ไม่ว่าจะปลูกจะเลี้ยงอะไร ผลผลิตมันจะมีมากจนตารับมือไม่ไหวเสมอทั้งพืชและสัตว์
เช่นถ้าตาเลี้ยงเป็ด ตาจะไม่ได้สนใจว่ามันจะมีผลผลิตและจำนวนผลิตผลมากน้อยเท่าไหร่
อ้อลืมบอก ด้วยความเป็นหมอประจำอำเภอ 
ตาไม่เคยต้องซื้อหาแม่พันธุ์สัตว์ใดๆมาเพาะนะครับ
อย่างคราวเป็ด ก็มีชาวบ้านเอามาให้คู่หนึ่ง อยู่ไปอยู่มาก็กลายเป็นฝูง 
ตาก็แค่ให้อาหารกินตอนเช้าและพอเข้าสักเจ็ดโมง
ตาก็จะเปิดเล้า ให้เป็ดทั้งหมดออกไปเที่ยวหากินเอง ตามชายคลอง
พอตกเย็นเป็ดก็จะกลับมาเอง และตาก็จะใช้ผมไปปิดเล้าเสมอเป็นกิจวัตรส่วนตัว
ก่อนปิดเล้าเราก็จะได้ใข่เป็ดสวยๆติดมือมาอย่างน้อยๆก็ห้าหกลูกเสมอ
พอผ่านไปสักพัก ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนเป็ดก็หายไปมั่ง ตายไปมั่ง
งูเอาไปกินมั่ง อ้อ งูเหลือมน่ะครับ มารัดเอาเป็ดไปกิน 
ร้อนถึงเอาตาต้องไปตามคนมาจับงูไปปล่อย มีคนบอกให้จัดการฆ่าเสีย 
ตาว่าชั่งมันเป็ดก็ตายไปแล้วงูจะตายอีกมันก็ใช่ที่ เอาไปปล่อยให้ไกลๆจากเป็ดแล้วกัน
สุดท้ายไปๆมาๆไม่รู้ตอนไหน เป็ดหายไปหมด กลายเป็นไก่มาแทน
ไก่ทั้งฝูงก็ลงท้ายคล้ายๆเป็ดอยู่เหมือนกันในตอนจบ

สถานที่ที่สามก็คือที่ว่างข้างคลองตอนหน้าแล้ง 
ตรงนี้เป็นส่วนขยายของโคก ซึ่งจะปรากฏขึ้นเฉพาะตอนหน้าแล้งน้ำแห้ง
เป็นที่ดินกว้างสักไร่กว่าเห็นจะได้ ตาว่าดินดีแถวนี้ เพราะดินน้ำท่วมจะสะสมธาตุอาหาร
ไว้เยอะแยะหลังน้ำลด เมื่อน้ำลด ตาจะทำการยกร่องสูงสักศอก และซื้อเมล็ดพันธุ์พืช
ที่มีระยะเวลาการปลูกสักไม่เกินห้าหกเดือนก่อนหน้าน้ำมา
มีทั้งถั่วฝักยาว ที่ต้องสร้างร้านให้หนวดมันเลื้อยไปเรื่อยๆ แซมด้วยข้าวโพดสักจำนวนหนึ่ง
หน้าสวน ส่วนที่อยู่ใกล้บ้าน ตาจะปลูกพวกพริก ผักคะน้า 
หรือผักบุ้งเอาไว้ให้ยายมาเก็บไปทำอาหาร
มะเขือเทศ พริกไทยผมก็เคยเห็นตาปลูก จำได้ว่าแอบเด็ดเม็ดเอามาดีดใส่กันเล่นจนตาด่า 
ส่วนหย่อมดินที่ติดกับบันไดบ้าน ตามักจะปลูกดอกดาวเรืองอยู่บ่อยๆ 
ผมคิดว่าตาคงชอบดอกดาวเรือง เพราะเป็นดอกไม้ที่ดูแลน่าจะง่าย
แถมสีสรรสวยงามตัดกับความเขียวของสวนด้านหลัง
แต่ผมไม่ชอบกลิ่นของมันเลยจริงๆ เด็ดมาดมทีไรก็ต้องขว้างทิ้งไปเสียบ่อยๆเพราะเหม็นเขียวเต็มทน
เคยมีครั้งหนึ่งตาบอกว่าใครอยากปลูกอะไรก็ได้ 
มีดินว่างอยู่ราวสักวาหนึ่ง 
ผมก็เลยขอตังตาสักสามบาท
วิ่งไปตลาดร้านตาฮุยริมสะพานข้ามคลองแผลบเดียวก็ได้เมล็ดหัวไชเท้ามาสักหยุ่มมือ 
ตาบอกให้เอาหว่านๆไว้ในร่องดิน แล้วหมั่นมาดูแลเอาเองก็แล้วกัน
จำได้ว่าแรกๆผมก็มาเทียวรดน้ำดายหญ้ากำจัดวัชพืชอยู่สักเดือนค่อน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจในเรื่องอื่นก็พาให้ผมลืมเรืองแปลงหัวไชเท้าไปสนิท
มีวันหนึ่ง ตาบอกว่าให้ไปดูแลหน่อยแปลงผักที่ปลูกเอาไว้
พอนึกได้ก็ผ่านไปสามสี่เดือน ผมก็เลยไปแหวกๆดู เห็นมีหัวไชเท้าเหลือรอดมาสักสามสี่ต้น
ตาบอกให้ดึงขึ้นมาดู ออกแรงดึงสักสามสี่หน หัวไชเท้าต้นเท่าขาก็โผล่มาให้ได้เห็น
ที่เหลือตาก็ดึงขึ้นมาได้ด้วยกันอีกสามหัวรวมสี่หัว 
เดือนนั้นผมได้กินผลงานของตัวเองไปอีกหลายเมนูหัวไชเท้า

ช่วงที่ถ้าตาอยู่บนโคก นอกจากเล้าเป็ดที่ว่า 
ตาผมยังมีโอ่งหมักน้ำปลาอยู่อีกห้าหกโอ่ง
ไอ้โอ่งนี่อยู่ท้ายสวนบนโคก เรียกว่าอยู่ไกลจากตัวบ้านมากๆเลยทีเดียว
เรื่องหมักน้ำปลานี่จริงๆผมว่าเป็นเพราะความใจดีของตากับคนรอบๆบ้านด้วยอย่างหนึ่ง
เพราะเวลาหน้าน้ำ ชาวบ้านจะออกหาปลา ปลาที่ได้มาก็จะมีทั้งปลาใหญ่
เช่นปลาช่อนปลาตะเพียนปลากราย แล้วเวลาขายก็มีบ้านผมนี่แหละที่เป็นแหล่งรับซื้อ
ยายจะรับซื้อปลาส่วนมากเอาไว้ตากแห้งทำปลาแห้ง ปลาเกลือ 
เอาไว้กินนานๆหรือแจกให้กับลูกหลาน ที่มาจากกรุงเทพอีตอนแวะมาเยี่ยมมาเที่ยว
ส่วนปลาซิวปลาสร้อย ปลาที่ราคาค่างวดไม่ค่อยได้สักสามบาทห้าบาท
ก็จะเป็นหน้าที่ของตาที่รับซื้อเอามาล้างๆผ่าๆ ผสมเกลือเม็ดและเอาลงหมักในโอ่งที่ว่า
ขั้นตอนการหมักน่ะผมเคยไปยืนดูหลายหน แต่ทุกหนก็ทนดูไม่ค่อยจะจบ
เพราะกระบวนการมันจะเนิ่นนานเชื่องช้ากินไปครึ่งค่อนวัน
เริ่มจากเอาปลามาวางบนไม้ใผ่สานๆเหมือนกระด้งหนึ่งขั้นเรียงๆให้เต็ม
จากนั้นก็เอาเกลือมาราดทับหนึ่งชั้น 
จากนั้นก็เอากระด้งมาวางปลาเรียงๆสลับไปมากับเกลือจนกระทั่งเต็มถึงขอบโอ่ง
แล้วก็เอาหินหนักๆวางทับบนสุด ก่อนจะปิดฝา เอาถุงพลาสติกคลุมกันน้ำกันฝน
เอาฝาอลูมิเนียมทับบนสุด แล้วก็ห่อพลาสติกอีกรอบ 
กิจกรรมนี้ผมเห็นตาวนเวียนทำไปทำมาเป็นเดือนๆ
จนสุดท้ายพอหมดหน้าน้ำ โอ่งห้าหกใบนั่นก็จะตั้งวางอยู่ท้ายสวนอย่างเงียบๆ 
โดยไม่มีอะไรหรือใครไปข้องแวะกับมันอีก เพราะพอพ้นหน้าน้ำ กระบวนการหมักคงจะถึงขั้นเข้าที่
กลิ่นเหม็นๆเหมือนอะไรเน่ากับกลิ่นเค็มๆของน้ำปลาจะโชยไปตามลมแล้ง
เรียกว่าคนไม่ชินได้กลิ่นก็อาจจะสะดุ้งเอาได้ว่ามีอะไรสักอย่างมาตายอยู่รอบๆบ้าน
แต่ก็ด้วยความที่มันเหม็น นั่นแหละคือที่ซ่อนจากคนหา ที่ดีที่สุดของคนเล่นซ่อนแอบ
ใครจะคิดว่าที่ที่เหม็นที่สุดจะมีใครไปทนแอบอยู่แต่ก็มี บ่อยๆเข้าโอ่งหมักน้ำปลาท้ายสวน
จะเป็นที่ที่ถูกคนหาเดินอุดจมูกเข้ามาดูก่อนเสมอทุกครั้งไป 
พอเข้ากลางๆหน้าแล้ง กระบวนการหมักน้ำปลาของตาก็จะมาถึงขั้นสุดท้าย
คือการเอาน้ำปลา แยกออกมาจากปลาที่หมักไว้ 
เช้าของวันว่างๆสักวัน ตาจะเรียกผมหิ้วกกระบวยาวๆกับถังน้ำใบเขื่องเดินตามตาไปในสวน
ตาจะค่อยๆรื้อฝาโอ่งออกทีละใบอย่างช้าๆ 
เมื่อยกหินออกกลิ่นทั้งหลายทั้งปวงที่หมักไว้ก็จะพุ่งทะลักออกมา
ราวกับว่าตาได้ปลดปล่อยวิญญาณของปลาซิวปลาสร้อยทั้งหลายออกมาจากโอ่งใบนั้น
มันเหม็นเค็มๆ ฉุนๆ แต่มีกลิ่นของความเป็นน้ำปลาปะปนอยู่ด้วย
ตาจะค่อยๆลอกเอาชั้นต่างๆที่ทับถมไว้ออกมา เอาผ้าขาวบางมารอง แล้วตักน้ำปลาที่หมักอยู่ในโอ่ง
เทลงใส่ถังน้ำอย่างช้าๆ จนครบ ทำอย่านั้นเรื่อยๆจนครบทุกโอ่ง 
แล้วผมจำไม่ได้จริงๆว่ามีกระบวนการอะไรต่อจากนี้หรือเปล่า
แต่มันจะมีหนึ่งหน้าที่ที่เป็นของผมอยู่เสมอ ในกระบวนการสุดท้าย
คือเอาน้ำปลาที่อยู่ในขวดแล้ว ซึ่งตอนนี้มีสีดำๆ ออกไปตากแดดจัดๆของหน้าร้อน
ทุกเช้า และเก็บเข้ามาในร่มชายคาเมื่อหมดแสงตะวัน ทำแบบนี้ทุกๆวัน
จากน้ำปลาสีดำๆ ก็จะกลายเป็นสี้น้ำตาลใสได้เองอย่างแปลกประหลาด และเมื่อฝนมา
เราก็จะมีน้ำปลาไว้แจกญาติที่มาจากกรุงเทพ 
หรือมีไว้เหยาะใส่ข้าวกินเองตลอกจนกว่าจะหน้าน้ำอีกครั้ง

เมื่อคราวหน้าฝน ตาก็จะมีกิจกรรมเพิ่มอีกคือเก็บมะม่วงบนโคก บ้านผมที่อยุธยามีมะม่วงเกินห้าต้น
จำได้ว่าสามต้นเป็นอกร่อง อีกสองต้นเป็นมะม่วงอะไรสักอย่างที่รสชาติไม่ได้เรื่องราว
แต่ตาก็ปลูกเอาไว้ท้ายสวนแค่เอาร่มเอาเงา มะม่วงอกร่องสามต้นนี้อยู่เรียงๆแถวกันไปข้างๆคลอง
เวลาลูกดกเต็มต้น ตาจะหาวันแดดดีๆสักวันหนึ่งและไปจ้างคนสักคนสองคนจากหลังบ้าน
ให้มาปีนเก็บมะม่วงเขียวๆทั้งสามต้นนี้ลงมาให้หมด งานเก็บมะม่วงนี้เป็นงานยากนะครับ
ที่ยากเพราะต้นมะม่วงจะมีมดแดงเป็นรังๆเฝ้าพวงมะม่วงอยู่ คนที่ขึ้นไปเก็บนี่จะนุ่งผ้าขาวม้า
หรืออย่างมากคือกางเกงตัวเดียว ฝ่าฝูงมดแดงทั้งร้อยทั้งพัน ที่ทั้งกัดทั้งตอม
ให้สะดุ้งเจ็บและได้คันจนเสียการทรงตัวและตกต้นมะม่วงลงมาได้ แต่ตามประวัตินั้นไม่มีเหตุที่บ้านตาผม
เพราะขาประจำที่มาเก็บมะม่วงให้ตาจะมีความอดทนสูงๆกันทุกคน
หากมดแดงมันเยอะมากมายนักพี่ก็หักเอารังมดแดงทั้งรังโยนลงมาโคนต้นตัดรำคาญ
พวที่อยู่โคนต้นก็วิ่งแตกฮือกันไปคนละทิศละทาง
เป็นที่ขำขันและสนุกสนานกันทั้งคนเก็บมะม่วงและคนมาดูคนเก็บมะม่วง
หลังจากเก็บมะม่วงมาได้สักร้อยสองร้อยลูก ตาจะเอามะม่วงเขียวๆไปทำการ บ่ม
สถานที่บ่มมะม่วงจะใช้ห้องหลังบ้านที่เคยเป็นห้องสำหรับทำคลอดคนมีลูก
แต่พอมีอนามัย อาชีพหมอของตาก็ลดความสำคัญลงไปตามเวลา คนไปคลอดที่อนามัยกันหมด
เพราะอนามัยกับบ้านตาผมห่างกันเพียงเดินสักสามสิบก้าว พอไม่มีคนมาทำคลอด
ห้องนั้นก็กลายเป็นห้องบ่มมะม่วงในช่วงก่อนหน้าฝนทุกปีไป ตาจะเอามะม่วงมาเรียงๆ
คลุมด้วยผ้าหนึ่งชั้น คลุมด้วยกระสอบข้าวอีกหนึ่งชั้น และสุดท้ายก็คลุมด้วยพลาสติก
เวลาในการบ่มนี่ผมไม่ได้เรียนรู้จากตามา แต่รู้ว่าเมื่อมีมะม่วงสุกมากินในบ้าน นั่นแปลว่า
มะม่วงที่บ่มไว้ในห้องคลอดพร้อมสำหรับการกินแล้ว และหากอยากกินก็แค่ไปถกกระสอบ
ที่คลุมมะม่วงไว้หยิบออกมากินได้ทันที เพราะไม่นานนักมันก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว
เพราะตาเอาไปแจกคนที่มาจากกรุงเทพ และคนรอบบ้านจนหมดที่บ่มไว้พอดี แต่ถ้าบางปีมันมีมากจนเกินไป ปีนั้นบ้านเราก็จะมีมะม่วงกวนฝีมือยายให้หยิบกินในเวลาที่เราหิวๆ
เรื่องของตาที่ผมประทับใจมีอยู่อีกเรื่อง คือเรื่องหมู หลังบ้านตาจะมีบ้านอยู่หลังหนึ่งชื่อบ้านตาเบิ้ม แกมีอาชีพเลี้ยงหมู มาวันหนึ่งหมูตกลูกออกมาครอกหนึ่งราวๆ สิบกว่าตัว ทุกๆตัวแข็งแรงลุกขึ้นวิ่งปรู๊ดปร๊าดหมดยกเว้นไอ้ตัวที่สิบกว่าๆ ตาเบิ้มแกว่ามันเป็นตัวสุดท้อง ดูจากรูปหารณ์แล้วไอ้ตัวสุดท้องนี่ไม่น่ารอด เพราะตอนชาวบ้านเขาเอามามันก็ยืนล้มแปะไม่มีเรี่ยวแรง ตาเบิ้มจึงเอามาให้ตาช่วยรักษา ตามองๆจับๆคลำๆอยู่สักพักเลยบอกตาเบิ้มว่าขอแล้วกันไอ้ตัวนี้ แกเอาไปมันก็ไมรู้จะรอดไหม อยูกะตาก็ไม่รู้จะรักษายังไง ตาเบิ้มแกเลยได้ค่าเหล้าขาวไปแลกกับไอ้หมูป่วยตัวนี้มา สามปีต่อมาไวเหมือนโกหก ไอ้หลงเป็นหมูตัวมหึมา จากตัวที่ไม่น่าจะรอดและแคระแกรน ตาเอามาขุนจนกลายเป็นหมูปกติ แถมตัวใหญ่เกินพี่เกินน้องไปเสียอีก เพราะได้กินแต่ของดีๆ ไม่ต้องไปแย่งกันกับใครกิน ไอ้หลงจึงกลายเป็นหมูที่อ้วน สวย และสะอาดที่สุดในละแวกบ้าน ด้วยความรักและเอาใจใส่ของตา
อยู่มาวันหนึ่งคราวเคราะห์คงมาเยือนไอ้หลง วันนั้นผมกลับมาจากโรงเรียนตอนเย็น เห็นไอ้หลงนอนจมกองเลือดตายอยู่ในเล้า ความมีว่าหมาน้าแดงบ้านข้างหลุดออกมาจากที่ขัง กระโดดเข้ามาฟัดไอ้หลงจมเขี้ยวตายแล้วก็หนีไป ค่ำนั้นผมเห็นตากับคนหลังบ้านสองคนที่เคยมาเก็บมะม่วง ช่วยกันขุดหลุมฝังไอ้หลงลงดิน ผมได้ยินตาพูดตอนฝังไอ้หลงเสร็จแล้วว่าต่อไปนี้จะไม่เลี้ยงสัตว์อีกแล้ว พอแล้วบาปกรรม เห็นตาทำหน้าเศร้าไปอีกเป็นเดือน แต่สุดท้ายไม่นาน ตาก็ได้ไก่ชนมาอีกคู่หนึ่งจากชาวบ้านเอามาฝาก แล้วก็มีวีรกรรมไก่ชนมาตีกันเองตายใต้ถุนบ้านตาอีกเป็นพักๆ เดือดร้อนตาต้องขุดหลุมฝังอยู่บ่อยๆ สุดท้ายตัดรำคาญ ตาจึงยกให้คนแถวๆนั้นไปจนหมด และฝูงไก่ชนนั่นก็เป็นสัตว์ชนิดสุดท้ายที่ผมเห็นตาเลี้ยง เพราะหลังๆใครหิ้วตัวอะไรมาฝากตา ไม่เกินคล้อยหลังคนให้ตาจะรีบยกให้คนอื่นไปทันที คงด้วยกลัวบาปกรรมและรำคาญต้องมาขุดหลุมฝังศพ

จากเหตุการณ์ไอ้หลงและไก่ชนคราวนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตาเลิกเลี้ยงสัตว์ แต่ก็ยังมีอีกเหตุการณ์ หนึ่งที่ทำให้ตาผมถึงกับเลิกทำสวนไปเลยอีกหนึ่งเหตุการณ์ ปีนั้นทางการคากหมายว่าน้ำท่าน่าจะมาก อีกทั้งคลองหน้าบ้านผมก็ตื้นเขิน ทางการจึงส่งเรือขุดลอกเข้ามาในคลองหน้าบ้าน แรกๆผมก็เห็นตาดีอกดีใจ ตาว่าดินที่ลอกมาจะได้เอามาถมเพิ่มบนโคก ดินจะได้ดีขึ้นมีธาตุอาหารมากขึ้น ตาจึงบอกให้เรือขุด เอาดินที่จะทิ้งไปริมตลิ่ง เอามาถมไว้บนโคกแทน พอเรือขุดไปได้สักเดือนก็เกิดเรื่อง ต้นไม่บนโคกที่โดนดินถมสูงครึ่งค่อนต้น ก็ค่อยๆทะยอยตายลงอย่างช้าๆ ที่เห็นได้ชัดแลัน่าเสียดายสุดก็คงเป็นต้นมะม่วงอกร่องสามต้นนั้น ผมเห็นตายืนมองมันตายจากบนบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงตายและจะแก้ยังไงไม่ให้มันตาย สุดท้ายเมื่อต้นไม้ทะยอยกันตายลงไปจนเกือบๆหมดโคก คงพอดีกับอายุของตาที่มากขึ้นพอดี แล้วสุดท้ายผมก็ไม่เห็นตาลงไปที่โคกอีก เห็นแต่ตาคอยมองๆต้นชมพู่เก่าแก่ที่รอดมาจากเหตุเรือขุดคราวนั้นเพียงต้นเดียวอยู่บ่อยๆ

เมื่อคราวผมกลับบ้านไปเมื่อเดือนก่อน หลังจากไม่ได้กลับมาสักสิบปี ผมเดินๆดูรอบบ้าน เดินดูโคกที่ปัจจุบันไม่มีแล้วเพราะหลังจากตาเสียไปได้สักสิบปีแม่ก็ถมดินให้โคกกับบ้านสูงเสมอกันจะเหลือก็ต้นชมพู่ต้นเดิม ที่ยังคงผลิตลูกชมพู่รสฝาดๆอยู่เพียงต้นเดียวนั่นแหละที่ยังอยู่ ผมยืนมองต้นชมพู่เก่าๆนั้นในตำแหน่งเดียวกับที่ตามองดู มือก็ลูบๆคลำๆลำต้นที่ผ่านวันผ่านเวลาด้วยกันมา ผมคิดถึงสวนของตาที่มีผลให้เก็บกินได้ตลอดทั้งปี ผมคิดถึงภาพเวลาที่ตาก้มๆเงยๆง่วนทำอะไรสักอย่างอยู่บนโคก บางทีต้นชมพู่ต้นนี้แหละ คือหลักฐานที่ยังคงมีอยู่มีไว้ให้จำ มีไว้ให้ผมระลึกถึงตาสวนของตา รวมถึงกลิ่นเหม็นๆของโอ่งน้ำปลาห้าหกโอ่งนั้นด้วย



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด