วันที่ 13 ตุลาคม 2559




อนุธินส่วนบุคคล

ข้าพเจ้าชื่อ นายนวพงศ์ นวาวัตน์ ปัจจุบันอายุ 46 ปี
ขอจดบันทึกอนุธินส่วนบุคคลไว้เป็นความจำหนึ่งเรื่อง

ข้าพเจ้าเกิดวันที่ 12 ตุลาคม ปีพุทธศักราช 2513
ข้าพเจ้าเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช เกิดภายใต้รัชสมัยของ
องค์พระประมุขแห่งประเทศไทย นั่นคือ

"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 
มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร"


วันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2559

วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของข้าพเจ้า 
ข้าพเจ้าตื่นเช้าไปทำงานตามปกติ ไม่ได้แวะใส่บาตร ทำบุญอะไร
เพราะคิดว่าจะหาวันว่างไปสักวันหลังจากนี้
ราวๆ 10.00 น. ข้าพเจ้าได้รับข้อความจากกลุ่มเรื่องการยกเลิกรับปริญญา
ของนิสิตนักศึกษาอย่างไม่มีกำหนดของมหาวิทยาลัยที่น้องสาวและพี่สาวคนหนึ่ง
แจ้งบอกกมา 
11.00 น. ข้าพเจ้าทราบเรื่องนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เดินทางมาโรงพยาบาลศิริราช แต่ไม่ทราบเหตุ

หลังเที่ยง ข้าพเจ้าทราบเรื่องที่พระบรมวงศ์ศานุวงศ์ทุกพระองค์เสด็จฯ ยังศิริราช
ทราบแต่นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้า บางเพจเริ่มเคลื่อนไหวข้าพเจ้ารู้สึกไม่ดี
แต่ในข่าวสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารียังไม่เสด็จฯ 
ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่มีเหตุอันใด แต่ในใจลึกๆข้าพเจ้ารู้ว่ามีแต่มิบังอาจล่วงคิด

15.00 น. ข้าพเจ้าทำงานตามปกติ สอนคอมพิเตอร์เด็กๆ

16.00 น. เริ่มมีข่าวในทางไม่สู้ดี ข้าพเจ้าใจหาย สอนไม่รู้เรื่อง จึงให้เด็กๆทำงาน
และเฝ้าแต่ติดตามข่าวสาร 

16.30 น. ก่อนเลิกสักสอนครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าได้เข้าไปอ่านข่าวสารในเว็บไซต์แห่งหนึ่ง
ซึ่งตีความได้ตรงกับความคิดของข้าพเจ้าในเวลานั้น ด้วยความสัตย์จริง 
ข้าพเจ้าไม่สามารถทำการสอนหนังสือต่อไปได้แล้ว ปากชา มือชา ยืนไม่อยู่
ในขณะที่เด็กๆเล่นกัน ข้าพเจ้าพยายามคิดว่าไม่มีอะไร น่าจะคิดไปเอง

17.00 น. เลิกสอน ข้าพเจ้ารีบกลับบ้าน ด้วยจิตใจไม่สู้ดีนัก น้ำตาจะไหลแต่กลั้นไว้
เพราะอย่างน้อย ก็ไม่มีข่าวอะไรออกมาอีก นอกจากประกาศว่านายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ
และกล่าวกับนักข่าวว่า "กลับบ้านๆ" ข้าพเจ้าจึงรู้สึกดีขึ้น

18.00 น. กลับถึงบ้านข้าพเจ้าบอกกับเพื่อนๆทางข้อความว่า
วันนี้เป็นวันเกิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้สวดมนต์ก่อนนอนมานานกว่าหลายสิบปี
แต่หากวันนี้ข้าพเจ้าจะสวด เพื่อเป็นศิริมงคลกับตนเอง 
และถวายให้เป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงของข้าพเจ้า

22.00 น. ไม่มีข่าวอะไร ข้าพเจ้าสวดมนต์ แต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว สวดไม่ถูกต้อง
สวดข้ามไปมา ด้วยว่าไม่เคยสวดมนต์ก่อนนอนมานาน จึงเอาแผ่นสวดมนต์ออก
และสวดตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจเอง ก่อนจบ ข้าพเจ้าขอให้ในหลวงหายจาก
ทรงพระประชวร ข้าพเจ้านึกอย่างนั้น

วันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 

ข้าพเจ้าออกจาบ้านราวๆ สิบเอ็ดโมง ไปแวะซื้ออาหารไปฝากพ่อและแม่ 
เนื่องในสัญญาไว้ว่า หลังวันเกิดจะซื้อเป็ดย่างหมูแดงไปให้ทาน 

12.00 น. ฝนตกเล็กน้อยทั้งๆที่อากาศร้อนแดดจัด 
ที่ต้องพูดถึงเนื่องจากเป็นเหตุประหลาด
เพราะข้าพเจ้าบอกกับแม่ว่าจะเอารถจอดไว้ที่บ้าน 
และจะออกไปขึ้นรถสองแถวไปทำงาน แต่พออกไปพ้นประตูบ้าน ทั้งๆที่แดดจัดจ้า
แต่ฝนตกลงมา ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจขับรถไปทำงาน

15.00 น. เริ่มสอนคอมพิวเตอร์เด็กๆสามคนเช่นเดียวกับเมื่อวานตามปกติ

16.00 น. พัก ข้าพเจ้าเดินออกมาดื่มน้ำ เพื่อนในมี่ทำงานเปิดข้อความให้ดู 
และให้ตรวจสอบข่าว ที่ได้รับ เป็นข่าวที่มาจาก ม.ล.จุลเจิม ยุคล ผ่านมาทางเฟสบุค
ข้าพเจ้าจำเนื้อหาไม่ได้ แต่ความว่าให้รอแถลงการณ์ จากสำนักพระราชวัง
หัวใจมันเต้นรัว ทำอะไรไม่ถูกอยากกลับบ้าน

17.00 น. ข่าวมามากจากหลายๆทาง ข้าพเจ้ายังบอกกับภรรยาว่าอาจเป็นข่าวปลอม
ให้รอฟังข่าวดีกว่า น่าจะไม่มีอะไรเหมือนเช่นเมื่อวาน ข้าพเจ้ากลับบ้าน

18.30 น. วันนี้มืดเร็วมาก ก่อนถึงบ้านสักหนึ่งกิโลเมตร ข้าพเจ้าเห็นหมอกลงกลางทุ่งนา
ยังพูดเล่นกับภรรยาว่า "ดูๆ บ้านเรามีหมอกด้วย" 

18.40 น. ถึงบ้านแม่ที่บางบอน รีบเปิดทีวี เพราะมีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวัง
แต่ในใจก็นึว่าอาจเป็นแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีตามปกติ

19.00 น. ทีวีขาวดำ ข้าพเจ้าคอแห้ง พูดอะไรไม่ออก ผู้ดำเนินรายการชายออกมากล่าว
ดังนี้ (ขออนุญาตคัดลอกนำมาไว้ทั้งหมด)

"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร 
สยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร 
ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ 
ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น 
แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ 
แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ 
ได้ทรุดหนักลงตามลำดับถึงวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ 
เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที เสด็จสวรรคต 
ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ 
สิริพระชนมพรรษาปีที่ ๘๙ ทรงครองราชสมบัติได้ ๗๐ ปี..."



คำกล่าวนั่นกินเวลาไม่เกินสามนาที แต่ข้าพเจ้าและแม่ ก็นิ่งเงียบไป 
ไม่ได้กล่าวอะไรกันอีก ข้าพเจ้าอยากร้องไห้ แต่ไม่ได้ทำ 
เพราะต้องสะกดกลั้นเอาไว้ หลายสิบหนจนกระทั่งวันนี้
ข้าพเจ้าต้องไม่ร้องไห้ ข้าพเจ้าต้องไม่ร้องไห้ 
อาจเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ในหลวงของข้าพเจ้าเป็นห่วง
แต่ข้าพเจ้าต้องไม่ร้องไห้  หาเหตุอธิบายได้แต่เพียงเท่านั้น
รู้เท่านั้น 
22.00 น. ข้าพเจ้าพยายามเข้านอน แต่น้ำตาซึมๆบ่อย 

วันที่ 14 ตุลาคม พุทธศักราช  2559

7.30 น. ข้าพเจ้าตื่นนอนออกมาทำงานโดยนั่งรถไฟ

12.00 น. มาลงสถานีตลาดพลู วันนี้ประเทศไทยมีแต่ความเศร้า 
มีแต่สีดำ ข้าพเจ้าออกไปซื้อเสื้อดำมาสามตัว ของเก่ามีอยู่แล้วสองตัวรวมห้าตัว
ตั้งใจว่าจะใสสีดำหรือสีทึบๆเพื่อไว้อาลัย ให้ครบหนึ่งปี เช่นเดียวกับทางราชการ
นั่นอาจเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆที่ข้าพเจ้าจะทำได้บ้าง

15.00 น. สอนเด็กสามคนตามปกติ 
17.00 น. เลิกสอน ข้าพเจ้าเสียใจ ที่ไม่ได้ไปงานส่งพระบรมศพเจ้าอยู่หัว
ในพระบรมโกศเสด็จสู่สวรรคาลัย จากโรงพยาบาลศิริราช 
สู่พระบรมมหาราชวัง แต่ในใจก็นึกว่า
ข้าพเจ้าคงต้องทำหน้าที่ของข้าพเจ้าให้เหมาะสม

ดังคำพระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคล
ต่าง ๆ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย 4 ธันวาคม 2533
''...ทุกคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทำเฉพาะหน้าที่นั้นเพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่ เฉพาะของตัว โดยไม่มองดูคนอื่นงานก็ ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่างานทุกงาน จะต้องพาดพิงกัน จะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้น แต่ละคนจะต้องรู้ถึงงานของผู้อื่นแล้ว ช่วยกันทำ...''  
   
ดังนั้นแล้วข้าพเจ้าจึงไม่ได้ละหน้าที่ไป
.เพียงแต่สัญญากับตนเองไว้ว่า ในชีวิตนี้ ข้าพเจ้า
อาจเป็นแค่ฟันเฟืองที่เล็กที่สุดของสังคม 
อาจไม่มีคุณค่าที่สุดของความจำเป็นในการดำรงชีพของผู้อื่น
หรือแม้กระทั่งคนรอบตัว

แต่ข้าพเจ้ายังยืนยันเสมอว่า
ในการประกอบอาชีพครูของข้าพเจ้าตลอด สิบแปดปีล่วงมา
ข้าพเจ้าตั้งใจทำงานในหน้าที่อย่างดีมาตลอดและสม่ำเสมอ
ไม่เคยบกพร่องในอาชีพการงานและหน้าที่ 
เพราะข้าพเจ้าพึงระลึกเสมอมาว่าข้าพเจ้าจะทำงานให้สมกับ
ที่ข้าพเจ้าได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่เก้า แห่งประเทศไทย

ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ครูให้ดีที่สุด ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า
ข้าพเจ้ารักในหลวงของข้าพเจ้า

ปิดอนุธิน
14 ตุลาคม 2559 
22.32 น.

.....................................................

























โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด