คลองหน้าบ้าน


    บ้านผมอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อำเภออุทัย ชื่อของอำเภอนี่เวลาคุยกับใครที่ถามว่าไปไหน แล้วเผลอไปว่าไปอุทัยนี่จะยาว เพราะคนที่ได้ยินเขาจะนึกไปถึงนู่น จังหวัดอุทัยธานี ต้องคอยมาบอกใหม่ว่าอุทัยเฉยๆ เป็นอำเภอ อยู่ห่างจากอำเภอเมืองสัก 18 กิโล เอ้า บอกไปก็ไม่รู้จักอยู่ดี รู้จักกันแต่อำเภอเมืองอยู่ดี

    หน้าบ้านผมนี่เป็นคลอง เป็นคลองที่แยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ลึกเข้ามาถึงตัวอำเภอนี่ก็ราวๆสิบกว่ากิโล ต้นทางอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ปลายทางนี่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปถึงไหน ว่ากันว่ายาวไปถึงจังหวัดสระบุรี เพราะสมัยก่อนมีเรือหางยาวมาจากหลายๆที่ มาขึ้นที่ท่าน้ำในตลาด และต่อรถเข้าไปยังในจังหวัดได้ บ้านผมเป็นบ้านเดียวที่มีสะพานต่อออกจากตัวบ้าน ยาวยื่นไปพ้นตลิ่งไปอีกสักห้าเมตร และมีบันไดลงไปอีกเกือบๆยี่สิบขั้น ลงไปในคลอง จริงๆว่าไปมันผิดกฏหมาย เพราะมันเป็นการรุกล้ำ แต่ที่ทำเอาไว้ก็มีเหตุผล ด้วยว่าตาผมเป็นหมอคนเดียวในอำเภอ พอคนป่วยคนไข้มา ซึ่งก็มาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง งูฉกงูกัดมาตอนตีสองตีสาม เป็นลมเป็นไข้ห้าทุ่มสี่ทุ่ม จะคลอดลูกตอนตีสามตีสี่ก็มีมา ไม่ว่าจะถดูน้ำหลาก หรือฤดูน้ำแล้ง ก็สามารถจอดเทียบเรือ แล้วเดินเข้ามายังตัวบ้านทำการรักษาได้ทันที ไม่ต้องปีนป่ายตลิ่งให้มันลำบากลำบน บ้านผมจึงเป็นบ้านเดียวที่ทางราชการอนุญาตให้มีสะพานล้ำลงไปในคลองได้ยาวเป็นพิเศษ
 
    เวลาเย็นๆกลับจากโรงเรียน เมื่อเจอหน้ายายได้สักสิบนาที ผมก็ออกจากบ้านไปหาไอ้แปดกับไอ้อ้วนที่รออยู่ริมคลอง ส่วนใหญ่การเล่นน้ำคลองนี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะสมัยก่อนน้ำประปามันยังไม่มี น้ำคลองก็สะอาดใส ชาวบ้านใช้น้ำคลองนี่แหละมาอุปโภค ส่วนถ้าจะบริโภค ต้องใช้น้ำฝนที่รองๆกันไว้ในฤดูฝน เก็บไว้ได้หลายสิบโองในบ้านใช้บริโภคกันตลอดทั้งปี ดังนั้นการลงคลองในตอนเย็นๆของผม ก็คือการอาบน้ำในช่วงเย็นก่อนเข้านอนนั่นแหละ

    ทุกๆวันนับแต่จำความได้เมื่อผมกลับจากโรงเรียน ไอ้แปดกับไอ้อ้วนจะทำอะไรสักอย่างรออยู่แล้วที่ริมคลอง บางทีมันก็ลอยคอกันอยู่แล้วในน้ำ ค่าด้วยผมต้องไปเรียนในตัวจังหวัด ต้องนั่งรถสองแถวประจำอำเภอไปมาร่วมๆ 20 กิโล ส่วนไอ้แปดกับไอ้อ้วน จะเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอ มันจึงเลิกเรียนเร็วกว่าผม เมื่อมันมาถึงก่อน มันก็จะมีกิจกรรมเตรียมไว้ให้เล่นได้ทุกวัน

    เมื่อเราอยู่ในคลอง ก็มีกิจกรรมให้ทำแยะเยอะ ตั้งแต่เล่นกระโดดน้ำ แปลงร่างเป็นไอ้มดนู่น ยอดมนุษย์นั่นแล้วโดดถีบกันเองในน้ำ หรือเล่นต่อสู้ต่อยหลอกๆกันบนสะพาน ใครแพ้ก็โดนเหวี่ยงลงน้ำไป พอขึ้นมาได้ก็สู้กันต่อ บางทีถ้ามีคนอื่นมาเล่นด้วย คือนอกจากผมไอ้อ้วนและไอ้แปดแล้ว บางทีก็มีเด็กแถวๆเลยไปสักห้าบ้านหกบ้านมาเล่นน้ำด้วย บางทีมันก็เยอะจนเกือบๆสิบคน ถ้าเยอะมากขนาดนี้เราก็จะเล่นได้สองอย่าง คือซ่อนหากับไล่จับ

    ซ่อนหาในคลองนี่โคตรสนุก ใครคนหานี่ก็ว่ากันเป็นหลายนาน เพราะที่แอบนี่มีมากมายเลย ตั้งแต่บนต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ริมคลอง ปีนขึ้นไปแอบๆในดงใบทึบๆ คนอยู่ในคลองก็หาไปเหอะ หรือบางทีก็เข้าไปในดงโสนที่ขึ้นริมคลอง แหวกๆแล้วนอนคว่ำหน้าลงไป รูดใบโสนมาโรยใส่หัวคนข้างๆ ดึงกิ่งโสนมาฟาดกันเล่นๆ รอจับรอแปะคนหาเวลามันเดินผ่าน 
ที่แอบที่แนบเนียนสุดที่ผม ไอ้อ้วนและไอ้แปด ชอบทำเวลาเป็นคนแอบจะมีสามที่ คือถ้ามีใครสักคนในสามคนนี้เป็นคนหา ก็อย่าไปแอบสามที่ที่ว่านี้ เรารู้กันหมดตั้งแต่นับหนึ่งถึงสิบแล้ว

    ที่แรกคือใต้เรือคว่ำ เรือพายนี่แหละครับถ้าหน้าแล้งมันจะคว่ำอยู่ริมตลิ่ง ยกเรือขึ้น แล้วเข้าไปแอบ รับรองหาทั้งวันก็หาไม่เจอหรอกถ้าไม่ออกมาให้เขาเจอ ที่ที่สองคือในพุ่มไม้ริมคลอง ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไร มันเป็นพุ่มกลมๆ ขนาดราวๆสามถึงห้าเมตร ถ้าหน้าน้ำหลาก พุ่มไม้นี้จะจมอยู่ในน้ำตลอดฤดู แต่ถ้าหน้าแล้ง มันก็จะเป็นพุ่มไม้ริมคลอง ด้วยความที่ใบของมันดกและพุ่มหนา เราก็จะแหวกๆเข้าไปกลางต้น แล้วนั่งมองผ่านใบทึบๆของมันคอยสังเกตการณ์คนหา พอคนหามาใกล้ก็ค่อยๆย่องไปคว้าแขนคว้าขาให้ตกใจกันไปเป็นที่ขำขันละสนุกสนาน

    ที่สุดท้ายอันนี้จะเป็นที่แอบที่จะต้องคอยเคลื่อนไหวหนีคนหาอยู่ตลอด วิธีก็คือเอากอผักตบชวา มาวางไว้บนหัว เลือกเอากอใหญ่กว่าหัวสักหน่อย จะมีรากยาวๆ เอามาวางแปะไว้บนหัว ก่อนแปะก็ให้เขย่าๆสักหน่อย ไม่ใช่อะไร ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำลำคลองในสมัยนั้น กุ้งฝอย หอยโข่ง หอยขนาดเล้ก ปลาซิวปลาสร้อย รวมถึงปู งูก็มีนะทำเป็นเล่นไป สัตว์เหล่านี้จะอาศัยกอผักตบชวาเหล่านั้นแหละเป็นที่ทำมาหากิน ดังนั้นถ้าจะเอามาแปะบนหัว ก็ต้องเขย่าไล่ที่กันสักนิด กอผักตบชวาจึงจะพร้อมใช้งาน

    พอเอามาแปะไว้แล้ว ก็จัดทรงให้สวยงามดูกลมกลืน แล้วค่อยๆย่อตัวลงน้ำให้มิด เหลือจมูกไว้หายใจหน่อย คือลุกตากับจมูกนี่อยู่เหนือน้ำ แล้วก็ลอยตัวนิ่งๆ ลอยตามกระแสน้ำไหลไปเรื่อยหนีคนตามหา หรือถ้าจะเข้ามาแปะคนหา ก็ให้ลอยมาใกล้ๆก่อนจากนั้นสละกอผักตบชวา ดำน้ำมาดึงแขนดึงขาคนหาได้เลย แล้วคนหาก็จะต้องเป็นคนหาอีกรอบ สนุกจะตายตอนนั้นน่ะ

กิจกรรมต่อมาก็คือไล่จับ อันนี้ไม่ยาก แค่หนีคนจับ อย่าให้มาถูกตัวกันแค่นั้น ไม่ว่าจะดำน้ำหนี เดินหนี ว่ายน้ำหนี หรือดำน้ำลงไปให้ลึกที่สุด นอนราบลงกับดิน ระวังอย่าขยับตัว เพราะเวลาคนจับ สังเกตุเห็นน้ำกระเพื่อมเป็นลอนคลื่น มันจะรู้ว่ามีคนดำน้ำอึดหลบอยู่ ให้อยู่นิ่งๆและอึดๆไว้ ไอ้คนจับก็จะว่ายน้ำผ่านไปเอง แล้วเราค่อยโผล่มาเยาะเย้ยมันทีหลัง

ส่วนกิจกรรมต่อมาในเรื่องของการเล่นคือ การเล่นปาขี้โคลน ครับ ดินโคลนเละๆ ดำๆ เทาๆ ในคลองนี่แหละ ควักขึ้นมาได้ก็ขว้างใส่กันเลย นึกถึงกิจกรรมขว้างหิมะของคนในถิ่นหนาว ยังไงยังงั้นเลย ดำน้ำลงไป ควักขึ้นมา ถ้าอยู่ใกล้ๆก็แปะลงบนหัวกัน ถ้าอยู่ไกลก็ขว้าง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เข้าหน้าเข้าตา เข้าครับ หน้า ตา หู จมูกปากนี่เข้าหมด แล้วแต่ความแม่นของแต่ละคน ไอ้อ้วนนี้เป้าใหญ่ เคลื่อนที่ช้า มักจะโดนจังๆอยู่บ่อยๆ ไอ้แปดจะตัวเล็กหลบหนีว่องไว ดำน้ำนาน เลยต้องค่อยๆเคลื่อนไปให้ไกล้ๆมัน ดักรอตอนมันโผล่มา แปะขี้โคลนเข้าที่หัวหรือที่หน้าให้เละเทะ เป็นอันสนุกกันได้หลายชั่วโมง

    พอเล่นไปสักพัก ตะวันจะคล้อยลงดิน กิจกรรมเล่นน้ำคลองใกล้จะเลิก ฝูกค้างคาวจะออกมาทำมาหากิน เราก็จะเลิกปาขี้โคลนใส่กัน หันมาปาขี้โคลนใส่ค้างคาว ที่บินโฉบไปมาอยู่เหนือน้ำ บินมาทางไหนก็ปาไปทางนั้น ปากันไปจนมืด ไม่เคยโดน นั่นยิ่งเป็นที่สงสัยกันใหญ่ว่าทำไม่มันหลบกันเก่งอย่างนี้ ยิ่งหลบก็ยิ่งปา ยิ่งปาก็ยิ่งไม่โดน เคยมีครั้งหนึ่ง ไอ้อ้วนมันปาค้างคาวที่บินเรี่ยๆน้ำ ด้วยความที่เย็นย่ำโพล้เพล้ใกล้จะมืดมิมืดแหล่  มีเรือพายหาปลาของชาวบ้านพายผ่านมาพอดีหนึ่งลำ แน่นอน ไม่พลาดครับ เข้าเต็มตัวของชาวบ้านพายเรือหาปลา เละขี้โคลนตั้งแต่ตัวยันหัว จำได้ว่าผมโจนหนีขึ้นฝั่ง วิ่งลอดใต้ถุนบ้านยายไปขึ้นหลังบ้าน เพราะกลัวเขารู็ว่าอยู่บ้านนี้  ไอ้แปดดำน้ำไปโผล่อีกฟากคลอง โดยมีผักตบชวาวางแปะอยู่บนหัว แล้วลอยล่องๆไปขึ้นไกลจากท่าน้ำ นู่น ไปขึ้นฝั่งอีกทีเกือบๆถึงท่าวัด ส่วนไอ้อ้วนต้นเรื่องหนีไม่ทัน โดนชาวบ้านด่าลั่นไป ลำบากยายมันต้องไปขอโทษเขา และไอ้อ้วนก็โดนหวดไปตามระเบียบ ที่มารู้เพราะวันถัดมาไอ้อ้วนไม่ยอมลงเล่นน้ำ ยายมันสั่งว่าให้เอาขันตักอาบ ห้ามไปรวมกันเล่นน้ำอีก ก็ได้สักสามวันห้าวันมั๊ง สุดท้ายมันเข้ดซะที่ไหน

    ต่อมาคือกิจกรรมก็คือเกาะเรือข้าว สมัยก่อนการคมนาคมยังไม่สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบัน คลองหน้าบ้านผมก็คือเส้นทางคมนาคม ใช้ในการขนข้าวเปลือก ต้นทางนี่ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ปลายทางนี่คือโรงสีข้าวเจ๊กฮุย ที่อยู่ริมคลองเลยบ้านผมไปน่าจะได้สักสองกิโลเมตร เวลาเรือขนข้าวมา คือขาล่อง ข้าวเปลือกจะถูกขนมาเต็มลำเรือ จะทำให้น้ำหนักของข้าวเปลือก กดให้กาบเรือข้าวอยู่เกือบๆปริ่มน้ำ และตรงกาบเรือ ที่ยาวตลอดลำนั้น จะมีพื้นทีกว้างสักศอก เพื่อให้คนในเรือเดินไปมาได้รอบลำ เรือข้าวเวลาล่องมา จะโยงกันมาทีละห้าลำหกลำ โดยมีเรือป่อกๆ ไอ้เรือ ป่อกๆ นี้คือเรือลาก ที่มีเสียงดัง ป่อกๆๆๆๆ จากปล่องไอเสีย ด้วยตวามที่เรือป่อกๆ โยงเรือข้าวมาหลายลำ เรือขนข้าวจะวิ่งไม่ได้เร็วมาก เมื่อเราเห็นเรือข้าวขาล่องมาส่งข้าว เราก็จะว่าน้ำไป แล้วยันตัวขึ้นไปบนเรือข้าว จากนั้นก็กระโดลงมาในน้ำ แล้วพอโผล่ขึ้นมา ก็ทำเหมือนเดิมอีกหลายๆรอบ จนกระทั่งเรือข้าวล่องผ่านไป เราก็จะว่ายน้ำกลับเข้าท่าน้ำ มาหาเรื่องอย่างอื่นทำอย่างอื่นกันต่อไป

    จริงๆถ้าให้เล่าเรื่องในคลองนี่มีอีกหลายสิบเรื่องตั้งแต่เรื่องเล่น ไปยันเรื่องทำมาหากินของคนริมคลอง ในปัจจุบัน คลองนี้กลายเป็นคลองเฉยๆ ตั้งแต่มีถนนมาตัดทะลุตัวให้ตัวอำเภอ ออกไปเชื่อมกับอีกจังหวัดได้ ความสำคัญของคลองก็หมดไป เมื่อผมกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งล่าสุดเมื่อปลายปี น้ำในคลองไม่ใส่แจ๋วเหมือนเคยแล้ว น้ำเป็นสีดำๆขุ่นๆ ไม่มีกิจกรรมใดๆในคลองอยู่อีกแล้ว เพราะตั้งแต่มีถนนตัดผ่าน นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากก็ตามมา คนริมคลองก็ล้มหายตายจากไปหลายคน ไอ้แปดก็กลายมาเป็น อบต ทำงานอยู่ในที่ทำงานตำบล ไอ้อ้วนทำงานอยู่ในโรงงานในนิคมฯ ผมเคยถามไอ้แปดกับไอ้อ้วนว่ายังลงเล่นน้ำคลองกันอยู่ไหม คำตอบที่ได้ก็เหมือนกันกับผมตอนนี้ แค่นั่งมองนานๆ นึกถึงวันเก่าๆ เห็นเด็กน้อยสามคนดำผุดดำว่ายอยู่ในคลอง แค่นี้ก็มีความสุขแล้วละครับ มันว่างั้น...








โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด