ขุดกลางวัน ตีกลางคืน

 


อำเภออุทัย จังหวัดอยุธยาบ้านผมนี่เดิมทีเป็นอำเภอที่ทะลุไปไหนไม่ได้ คือเป็นปลายทางของการเดินทางหากมาจากอำเภอเมือง ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ด้วยทางบก จะไปต้องลงรถประจำทาง มาต่อเรือหางยาวที่ท่าเรือในตลาด อาชีพทำมาหากินของคนที่นี่ส่วนใหญ่คือชาวนา ปีปีหนึ่งทำนากันสองสามครั้ง เพราะที่นี่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ตอนยายผมอพยพหนีสงครามมาตั้งรกรากที่นี่ นอกจากยายจะซื้อที่ดินริมน้ำผืนที่เป้นบ้านของยายไว้ ยายก็ไปซื้อที่นาไว้อีกแปดเก้าไร่ และก็ให้ชาวนาเช่าทำนา จำได้ว่าข้าวสารที่บ้านผมนั้นมีกินตลอดเวลาโดยไม่ต้องซื้อ เพราะนอกจากค่าเช่านาเล็กๆน้อยๆจากชาวนาที่ยายเก็บมา ก็ได้ข้าวสารอีกนิดๆหน่อยมาตุนไว้ในโอ่งสองใบหลังบ้านอีกด้วย 

ความอุดมสมบูรณ์ของอยุธยานั้นเรียกได้ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าวจริงๆ เพราะอยากกินปลาก็แค่หย่อนเบ็ดลงไปในน้ำ แปปเดียวก็ได้ปลา ไม่ต้องไปซื้อให้เสียสตางค์ อีกทั้งท้องนาสมัยนั้นก็กว้างขวางจนสุดลูกหูลูกตา ถ้าออกไปยังทุ่งนาหลังอำเภอ เราสามารถมองเห็นด้านขวามือไปสุดๆไกลๆก็คือจังหวัดสระบุรี ด้านซ้ายมือของเราก็จะเห็นเป็นถนนสายเอเซีย ถนนที่ตรงไปยังจังหวัดนครสรรค์นั่นเลยทีเดียว

ด้วยความที่หันซ้ายก็ทุ่งนา หันขวาก็ทุ่งนา มี่สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับทุ่งนาเสมอมาไม่ว่าจะยุคนั้นหรือยุคนี้ก็คือหนู หนูนาศัตรูของชาวนานี่แหละครับ ตาเคยบอกว่ามันคงมีมากพอๆกับคนในอำเภอนั่นแหละเห็นจะได้ มันทั้งกัด ทั้งแทะทำลายต้นข้าว ตั้งแต่ต้นข้าวเริ่มตั้งท้อง ไปจนถึงกระทั้งวันเก็บเกี่ยวก็มีให้ได้เห็น หนูจะกัดต้นข้าวล้ม ขาด และลากเอารวงข้าวไปไว้ในรู หนูจึงสร้างความเบื่อระอาให้กับชาวนามากๆเรียกว่าใครกำจัดได้ก็กำจัดไป จะวิธีไหนก็ไม่ห้าม เวลาไหนก็ไม่ห้าม ดังนั้นการ "ขุดหนู ตีหนู" จึงมีที่มาจากเหตุนี้

ขุดหนูนี่จะทำกันช่วงกลางวันครับ อุปกรณ์มีแต่จอบ เสียม และกำลังกาย เหมือนเดิม ช่วงแรกของการขุดหนูของผม ก็ต้องไปกับพี่น้องบ้านไอ้แปดไปก่อน เพราะเรายังเด็กไม่รู้วิธีหาว่ามันอยู่ตรงไหน ดูอย่างไร ต้องทำอย่างไร ต้องขุด ต้องดักอย่างไร ขืนซี้ซั้วไปขุดนี่จะโดนด่าเอา เพราะส่วนใหญ่ที่อยู่ของหนูก็คือคันนา ขุดมั่วๆซั่วๆไปคันนาก็จะพังจะทะลาย อาจโดนเจ้าของนาด่าเอาง่ายๆ

พอไปกับเขาได้บ่อยๆพวกเราก็ไปกันเองสามคน ผมไอ้แปด ไอ้อ้วน ไอ้อ้วนแบกจอบ ไอ้แปดแบกเสียม ผมแบกถุงปุ๋ยใบหนึ่ง เดินย่ำๆออกไปนู่นไกลๆทางหลังอำเภอ ถ้าเจอยายถามว่าไปไหน อย่าตอบว่าไปขุดหนู นอกจากยายจะไม่ให้ไปแล้วอาจจะโดนตีเอาได้ เพราะยายไม่ชอบให้เราทำบาป เราจึงตอบว่าไปเล่นหลังอำเภอแทน แล้วค่อยๆแอบเอาจอบ เอาเสียมของตาย่องๆออกไป 

พอเข้าเขตทุ่งนา เราก็จะเดินเลาะๆไปตามคันนาก่อน ต้องอย่าเดินลงไปเหยียบไปย่ำรวงข้าวชาวนาเขา เพราะมันกำลังตั้งท้องรอการเก็บเกี่ยวเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา ช่วเวลานี้แหละหนูจะชุกชุมมากเป็นพิเศษ เพราะอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การขยายพันธุ์ จุดสังเกตุของรังหนูก็คือปากรู ปากรูที่มีหนูอยู่นี้ต้องเป็นปากรูที่มีดินร่วนๆอยู่ ซึ่งมันคือดินที่หนูขุดออกมากองเอาไว้ตอนเข้าออกรู ที่สำคัญดินนั้นจะต้องใหม่ๆหน่อย มีความชื้นอยู่บ้าง จับดูเละๆ พื้นทางเข้าทางออกจะมันๆ ลื่นๆ นึกถึงพื้นปูนที่เรียบๆ นั่นแสดงว่ามีหนูและครอบครัวอาศัยอยู่ในนี้ จากนั้นอีกเรื่องก็คือ ต้องมองหาทางออกที่สองทางออกที่สาม หนูจะไม่ได้เข้าออกทางเดียวหรอก มันจะขุดรูไว้เป็นทางออกสองหรือสามทาง เผื่อเอาไว้ในยามฉุกเฉินมีภัย มันก็จะหนีไปอีกทาง เราต้องทำการดักเอาไว้ตอนขุดรู เผื่อว่ามันหนีอีกทาง เราก็จะได้ดักจับมันได้ตอนมันออกมา

พอเริ่มขุดด้วยจอบเพื่อถากเอาวัชพืชที่ปกคลุมปากทางเข้ารูนั้นออก  เสียมก็จะถูกขุดให้ลึกลงไปให้ถึงรังนอนที่มันกำลังนอนหลบแดดกลางวันกันอย่างสบายใจ จากนั้นถ้าพบ ไม่เสียมก็จอบ นั้นและ ก็จะถูกพาดลงไปตรงๆที่ตัวหนู ต้องตีทีเดียวให้ตาย ถ้าโดนก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่โดนก็เตรียมตัวได้เลย ไม้อะไรก็ได้ วิ่งไล่ตีไล่ฟาดกันพั้วเพี้ยะ หนูหลบซ้ายก็วิ่งตามไป หลบขวาก็ตามไปอีก ล่ากันจนกว่าจะได้ ตัวไหนโชคดี ถ้าไม่หนีไปทัน ก็แอบไปหลบในรูหนูตัวอื่น ก็ต้องมาตามขุดตามตีกันต่อไปจนกว่าจะได้ตัวออกมา

ตีหนูกลางคืน นี่ผมกับไอ้แปดไอ้อ้วนไม่สามารถออกไปเองได้ เนื่องจากยังเด็ก และอีกทั้งการออกจากบ้านตอนกลางคืนไม่สามารถทำได้เนื่องจากยายไม่อนุญาต ยิ่งถ้ายายรู้ว่าไปตีหนูนี่ยิ่งห้ามใหญ่ เพราะมันอันตรายมาก หากจะออกมาก็มีวิธีเดียว รอยายหลับแล้วงัดหลังบ้านออกไปนั่นแหละถึงจะได้ 

กระบวนการตีหนูนี่ต้องออกตีราวๆสักสองทุ่ม รอให้หนูออกมาทำมาหากินก่อน อุปกรณ์ก็มีแค่สองอย่าง ไม้ไผ่เหลาดีๆให้เหมาะมือ เลือกเอาใหม่ๆเขียวๆ จะได้ไม่หักง่ายๆ จอบเสียมนี่ไม่ต้องเพราะกลางคืนหนูจะออกมาให้เราเห็นอยู่แล้ว เพราะมันออกมาหากินกลางคืน พอนัดกันได้ก็ต้องมีผู้ใหญ่ไปด้วยทุกครั้งอย่างน้องยสองคน คนหนึ่งจะมีหน้าที่อยู่ตรงกลางเทินตะเกียงเจ้าพายุคอยให้แสงสว่างไว้บนหัว คนตีก็จะขนาบซ้าย ขวา เป็นหน้ากระดาน จริงๆเวลาไปตีหนูนี่มักเป็นมหกรรมใหญ่มากๆของหมู่บ้าน เพราะคนจะไปตีก็เยอะอยู่แล้ว ไอ้พวกเด็กๆที่ออกไปเก็บประสบการณ์ก็จะมีมากอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาไปตีหนูกันทีไร ก็เห็นยกกันไปทีนึงเกือบๆยี่สิบคน 

แรกๆก็จะเดินๆคุยเล่นกันไปเงียบๆมืดๆก่อน พอถึงจุดเริ่มงานก็จะติดไฟตะเกียงเจ้าพายุ จากนั้นก็ตั้งแถวหน้ากระดานขนาบซ้ายขวา ซ้ายสุดกับขวาสุดก็จะเป็นผู้ใหญ่ คอยดูแลเด็กๆไม่ให้พลัดหลง คอยเก็บกวาดหนูที่หลุดรอดมาจากการไล่ตีของเด็กๆ และคอยระวังสิ่งที่จะตามมาของการตีหนูด้วย เมื่อตะเกียงถูกจุด ความสนุกก็จะเริ่มขึ้น เราก็จะเดินๆไปกลางทุ่งนานั่นแหละ ลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ตีหนูนี่ทำได้เฉพาะหลัฤดูเก็บเกี่ยวนะครับ ต้องรอเกี่ยวข้าวแล้ว หนูจะออกมากิน"ข้าวตก" และเราสามารถเดินย่ำท้องนาที่มีแต่ตอซังข้าวแห้งๆนี่ได้ 

พอเจอหนู พวกเราก็จะไล่ฟาดกันอย่าเมามัน ไอ้ที่ว่าสนุกคือหนูมันวิ่ง เด็กๆอย่างเราก็ฟาดกันไปมั่วๆ โดนบ้างไม่โดนบ้าง หรือหนักกว่าก็คือฟาดโดนกันเองนั่นแหละยิ่งสนุก บางทีก็วิ่งกันจนเหงื่อแตกหรือบางทีวิ่งตีกันทั้งคืนก็ไม่โดนสักตัวก็มี ส่วนถ้าหนูตัวไหนวิ่งผ่านไปทางผู้ใหญ่ ที่เห็นก็ไม่ต้องวิ่ง ฟาดทีเดียวก็ตายติดไม้อยู่ตรงนั้น เก็บใส่ถุงได้ทันที 

กิจกรรมตีหนูนี่ไม่ได้กำหนดเวลาหรือระยะทางหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเอาจำนวนเข้ามากกว่า คือจะเลิกตีกลับบ้านก็เมื่อถุงปุ๋ยใบใหญ่ หรือกระสอบข้าวเต็ม จึงจะกลับ บางทีก็ล่วงเข่้าตีสองตีสามก็เคยมี ระยะทางบางทีก็เข้าไปเกือบๆสิบกิโลก็เคย 

ผู้ใหญ่ที่ไปตีหนูกับเรา ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญในการตีหนูอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งนอกจากไปตีหนูแล้วก็จะมีหน้าที่คอยไปดูแลเด็กๆอย่างพวกเรานี่แหละ เพราะถ้าคืนไหนในขณะที่กำลังตีหนูอยู่นั้นถ้ามีเสียงหนูร้องอย่างผิดสังเกตุ ผู้ใหญ่จะสั่งให้เด็กๆหยุดเดินทันดี  และค่อยๆขยับไปยืนรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้ๆตะเกียงอย่าส่งเสียง ส่วนผู้ใหญ่จะเดินหาต้นทางของเสียงร้องของหนูที่ว่า 

ไอ้เสียงร้องของหนูที่ว่าก็คือเสียงหนู กำลังโดนงูกัด หรือรัดครับ งูที่อยู่ในนาหน้าแล้งและกินหนูเป็นอาหารมีอยู่ชนิดเดียวคืองูเห่า ดังนั้นมันจะอันตรายมากๆหากเด็กๆเผลอเดินไปเหยียบหรือไปขัดจังหวะการกินอาหารของงูเข้า เมื่อเจอต้นทาง ส่วนใหญ่ที่เห็นคือหนูกำลังโดนรัด โดนกลืนเข้าท้องงู ผู้ใหญ่ที่ไปก็จะเอาไม้ตีหนูนั่นแหละ เคาะเข้าที่หัวงู แล้วก็เก็บแยกไว้อีกถุง เห็นว่าราคาดี ขายได้ทั้งตัวและทั้งดีงูสดๆกินกับเหล้าขาว

เช้าอีกวันหลังจากกลับมาจากตีหนู ท่าน้ำบ้านผมก็จะชุ่มโชกไปด้วยเลือดหนู ผู้ใหญ่สองสามคนก็จะเอาหนู ไม่ว่าจะได้จากการขุด การตี ตัดหัวออกแล้วก็ถลกหนังผ่าท้องควักใส้กันไปตามเรื่อง ไอ้พวกเราก็ได้แต่ดูห่างๆเพราะเกรงใจตับไตใส้พุงที่ถูกผ่าโยนทิ้งน้ำ

หนูพวกนี้ไม่ใช่หนูสกปรกนะครับอย่าเข้าใจผิด สมัยก่อนยังไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีการใช้เคมีปราบศัตรูพืชมากมายนัก ดังนั้นหนูที่ตีๆขุดๆกันมาคือหนูในท้องนา มันกินข้าวเปลือกนี่แหละเป็นอาหาร เมื่อตอนควักตับไตใส้พุงออกมาบางทีเราด็เคยเห็กระเพาะอาหารของหนูเหล่านี้เต็มไปด้วยข้าวเปลือก 

ขณะที่ที่ท่าน้ำกำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดหนู หลังบ้านยายผม หรือหน้าบ้านตาเบิ้มพ่อไอ้แปด ก็จะก่อไฟเตรียมเอาไว้ กองไฟจะยาวๆและมีรั้วพิงทำจากต้นไผ่กอเดียวกับที่เราเอาไม้มาตีหนูนั่นแหละ ไฟจะถูกจุดจากถ่าน และสุมกะลามะพร้าวแห้งๆลงไปเยอะๆเพื่อให้เกิดควัน เมื่อได้ที่ หนูเสียบไม้แผ่ๆก็จะถูกว่างแปะลงไปพิงไว้กับไม้ไผ่ เมื่อเรียงๆไว้เต็มจำนวน คราวหนึ่งก็ประมาณหลายร้อยตัว จากนั้นก็เอาสังกะสีมาปิด นั่งรอไป ส่วนใหญ่เวลานี้คนแถวนั้นที่เป็นผู้ใหญ่ก็จะเอาเหล้ายามานั่งกินรอกับแกล้มกันแล้ว

พอได้ที่ หนูก็จะทะยอยสุก ผู้ใหญ่ก็จะแบ่งๆกันไปหลายๆบ้าน ทั้งบ้านไอ้อ้วน บ้านไอ้แปด และรวมถึงอีกหกเจ็ดบ้านในละแวกนั้นก็จะได้รับหนูย่างไปกันคนละหลายๆไม้ อ้อแต่บ้านนึงที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งในเรื่องนี้คือบ้านผม คือตากับยายจะไม่กินครับ เห็นยายว่าบาปกรรม ส่วตานั้นบอกมีอะไรให้กินตั้งเยอะ เลยไม่กิน ผมก็เลยได้กินหนูย่างเป็นตัวแทนของบ้าน

รสชาติก็ไม่ได้ต่างจากไก่สักเท่าไหร่ครับไอ้หนูย่างรมควันนี่ สีก็ออกน้ำตาลเหมือนหมูย่าง กลิ่นก็กลิ่นกาบมะพร้างแห้งไหม้ควัน เมื่อกัดลงไปสีเนื้อด้านในก็ขาวเหมือนไก่ แต่เนื้อก็ไม่มากเนื่องจากตัวเล็ก ส่วนที่อร่อยก็คงเป็นช่วงขาติดสะโพกแบบไก่ เพียงแต่มีสี่ขา เวลากินก็ไม่ต้องจิ้มอะไร กินมันร้อนๆนั่นแหละ อร่อยนัก ปัจจุบันผมก็ยังเห็นมีขายอยู่นะริมทางรถยนต์นี่แหละ แต่ปัจจุบันก็ได้แต่มอง ไม่กล้ากิน เพราะมองเข้าไปในทุ่งนา มันไม่ได้เห็นแต่ทุ่งแต่นาแล้ว มันมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งโด่เด่อยุ่กลางนาด้วย ผมเลยไม่กล้ากินหนูนาย่างอีกเลย ไม่รู้เป็นเพราะกลัวบาปกรรม หรือดัดจริตกลัวสารเคมีตกค้างก็ไม่รู้



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้จักไหม ยอดแหลม น่ะ ยอดแหลม

คุณเชื่อเรื่อง พรหมลิขิตไหม....

ดนตรีเศร้าหมองแห่งการบำบัด